คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1373/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การทำสัญญาค้ำประกันบุคคลเข้าทำงาน โดยปกติย่อมเป็นที่เข้าใจกันว่าผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดเมื่อลูกจ้างทำให้เกิดความเสียหายขึ้นแก่นายจ้างเฉพาะในหน้าที่การงานของลูกจ้างนั้นเท่านั้น ถ้านายจ้างประสงค์จะให้รับผิดตลอดถึงการกระทำนอกหน้าที่การงานที่ว่าจ้างกันด้วยแล้วก็ชอบที่จะระบุไว้ให้ชัดในสัญญาค้ำประกัน
นายจ้างอ้างว่าการที่ลูกจ้างก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นนั้น ลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างหรือในหน้าที่การงานของลูกจ้าง เมื่อผู้ค้ำประกันให้การปฏิเสธข้อนี้ นายจ้างมีหน้าที่ต้องนำสืบ
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 26/2513)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ค้ำประกันนายบวร ศุภพฤกษ์ เข้าทำงานเป็นลูกจ้างโจทก์ในตำแหน่งหัวหน้าช่างเครื่องการไฟฟ้าจังหวัดพังงา ระหว่างทำงานเป็นลูกจ้างโจทก์ นายบวรได้ขับรถยนต์ของโจทก์ผู้เป็นนายจ้างในทางการที่จ้างไปชน นายศรี ประสมทรัพย์ นายสนิท ไพรสุวรรณ นายสมนึก มงคลบุตร ได้รับบาดเจ็บสาหัส และรถจักรยานเสียหาย บุคคลทั้งสามได้ฟ้องโจทก์กับนายบวรให้ใช้ค่าเสียหาย โจทก์ต้องใช้ค่าเสียหายให้แก่บุคคลทั้งสามเป็นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท ปรากฏตามคดีแดงที่ ๓๐-๓๑-๓๒/๒๕๐๗ และนายบวรทำให้รถยนต์ของโจทก์ที่ขับขี่ไปชนเสียหาย ต้องซ่อมใหม่เสียเงินไป ๓,๕๐๐ บาท ซึ่งจำเลยผู้ค้ำประกันต้องรับผิดชอบ ขอให้บังคับให้จำเลยใช้เงิน ๓๓,๕๐๐ บาทและดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นผู้ค้ำประกันการทำงานของนายบวร โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้านายบวรทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ในหน้าที่การงานหัวหน้าช่างเครื่องยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ จำเลยจึงจะรับผิดชอบในวงเงิน ๑,๐๐๐ บาท แต่มูลคดีที่นายบวรขับรถไปชนบุคคลทั้งสาม และโจทก์ต้องใช้ค่าเสียหายไปกับค่าซ่อมรถยนต์นั้น นายบวรได้กระทำไปโดยพลการนอกหน้าที่การงานดังที่โจทก์ได้ให้การไว้ในคดีที่กล่าวไว้ในฟ้องแล้ว การกระทำของนายบวรจึงนอกเหนือความรับผิดของจำเลย ถ้าจำเลยต้องรับผิดก็ไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท
วันชี้สองสถาน จำเลยรับว่าได้ทำสัญญาค้ำประกันตามต้นฉบับที่โจทก์ส่งศาล (จ.๑) และโจทก์เสียค่าซ่อมรถยนต์ไป ๓,๕๐๐ บาทจริง โจทก์จำเลยรับกันว่า นายบวรและโจทก์ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิด ศาลพิพากษาตามยอมไปแล้วตามคดีแดงที่ ๓๐-๓๑-๓๒/๒๕๐๗ จำเลยขออ้างคำขอให้การจำเลยที่ ๒ (คือโจทก์คดีนี้) ในสำนวนดังกล่าว แล้วโจทก์จำเลยไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ ๓๓,๕๐๐ บาท กับดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่ได้พิจารณาสัญญาค้ำประกันหมาย จ.๑ แล้ว เห็นว่า โจทก์จ้างนายบวรทำงานในหน้าที่หัวหน้าช่างเครื่อง ตามปกติธรรมดาย่อมเป็นที่เข้าใจกันระหว่างโจทก์จำเลยว่า ถ้านายบวรทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์เฉพาะในหน้าที่การงานเท่านั้น ผู้ค้ำประกันจึงจะต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ถ้าโจทก์ประสงค์จะให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดชอบทุกกรณีที่นายบวรกระทำขึ้นอกหน้าที่การงานที่ว่าจ้างกันด้วยแล้ว ก็ชอบที่จะระบุความข้อนี้ไว้ให้ชัดแจ้งในสัญญาค้ำประกัน เพราะเป็นสัญญาที่ผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดแต่เพียงผู้เดียว เมื่อสัญญาค้ำประกันรายนี้มิได้ระบุข้อนี้ไว้ ก็ต้องตีความให้เป็นคุณแก่ผู้ค้ำประกันว่าต้องรับผิดเฉพาะความเสียหายที่นายบวรกระทำขึ้นในหน้าที่การงานเท่านั้น
ปัญหาต่อไปมีว่า การที่นายบวรขับรถยนต์ของโจทก์ไปก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นตามฟ้องนั้น ได้กระทำไปในทางการที่จ้างหรือในหน้าที่หัวหน้าช่างเครื่องตามฟ้องหรือไม่ จำเลยให้การปฏิเสธข้อนี้ และการที่โจทก์กับนายบวรทำยอมความใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหาย และศาลพิพากษาไปตามยอมความแล้วนั้น คำพิพากษานั้นไม่มีผลผูกพันจำเลยซึ่งเป็นบุคคลนอกคดีที่กล่าวนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจึงมีมติว่าเป็นหน้าที่โจทก์ต้องนำสืบ เมื่อโจทก์จำเลยต่างไม่สืบ โจทก์ก็ไม่อาจชนะคดีได้
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share