คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1372/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เงินที่จำเลยตกลงชำระให้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นการตกลงที่จะชำระเต็มจำนวนตามสัญญาที่ทำไว้ต่อศาลแม้ตามสัญญาบริการระหว่างโจทก์จำเลยที่ใช้บังคับในระหว่างที่โจทก์ทำงานให้แก่จำเลยที่ใช้เป็นฐานแห่งการชำระเงินในคดีนี้ได้ระบุไว้โดยชัดแจ้งว่าภาษีเงินได้และภาษีอื่นที่โจทก์พึงจ่ายอันเกี่ยวเนื่องกับค่าตอบแทนจำเลยจะเป็นผู้จ่ายแทนในนามของโจทก์ทั้งสิ้นก็ตามแต่เมื่อโจทก์จำเลยตกลงเลิกสัญญากันแล้วจึงไม่อยู่ในฐานะเป็นลูกจ้างและนายจ้างกันต่อไปจำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างให้โจทก์เงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงมิใช่ค่าจ้างเมื่อโจทก์จำเลยตกลงเลิกสัญญากันแล้วจำเลยไม่มีหน้าที่จะต้องชำระภาษีเงินได้แทนโจทก์ตามข้อสัญญาอีกต่อไปและเงินที่จำเลยจะต้องจ่ายให้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความนี้เป็นเงินได้อันเนื่องมาจากสัญญาจ้างแรงงานและเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา40(1)แห่งประมวลรัษฎากรจำเลยผู้จ่ายมีหน้าที่ต้องหักภาษีไว้ณที่จ่ายตามมาตรา50ประกอบมาตรา3จตุทศแห่งประมวลรัษฎากรแล้วนำส่งเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพากรหากโจทก์เสียภาษีน้อยกว่าที่จำเลยหักไว้ก็เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องดำเนินการแก่กรมสรรพากรว่าด้วยเรื่องการคืนภาษีเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายโดยอ้างว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าก่อน 6 เดือน ตามข้อตกลงในสัญญาบริการและเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันศาลแรงงานกลางได้พิพากษาตามยอมโดยให้โจทก์ลาออกและจำเลยยอมจ่ายเงินให้โจทก์750,000 บาท แบ่งชำระเป็นสองงวด งวดแรกครึ่งหนึ่งชำระในวันที่ 31 ตุลาคม 2539 งวดที่สองอีกครึ่งหนึ่งชำระในวันที่29 พฤศจิกายน 2539 ต่อมาจำเลยได้นำเช็คสั่งจ่ายเงินจำนวน339,313.85 บาท สำหรับชำระหนี้งวดแรกโดยหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้จำนวน 35,686.15 บาท มาวางศาลพร้อมหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามประมวลรัษฎากรเพื่อให้โจทก์รับไป
โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานกลางว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น เป็นเรื่องที่จำเลยตกลงจ่ายเงินเดือนให้โจทก์จำนวน 3 เดือน เพราะเหตุที่จำเลยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าก่อนเลิกจ้าง 6 เดือน ตามข้อตกลงในสัญญาบริการไม่มีข้อตกลงให้จำเลยมีสิทธิหักภาษี ณ ที่จ่ายได้แต่อย่างใด ตามสัญญาบริการเอกสารหมายเลข 1 ท้ายฟ้อง ข้อ 4.1 และ 4.2 ได้ตกลงกันไว้ว่าเงินค่าจ้างที่จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์เดือนละ 250,000 บาท นั้นไม่มีการหักภาษีใด ๆ ทั้งสิ้นหากมีภาษีที่โจทก์จะต้องจ่ายจำเลยจะเป็นผู้จ่ายแทนทั้งหมด จำเลยจึงต้องจ่ายเงินให้โจทก์เต็มจำนวนในสัญญาประนีประนอมยอมความ
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า จำเลยผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากรจึงให้ยกคำร้องของโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า จำนวนเงิน750,000 บาท ที่จำเลยตกลงชำระให้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นเป็นการตกลงที่จะชำระเต็มจำนวนตามสัญญาที่ทำไว้ต่อศาล และตามสัญญาบริการระหว่างโจทก์จำเลยที่ใช้บังคับในระหว่างที่โจทก์ทำงานให้แก่จำเลยที่ใช้เป็นฐานแห่งการชำระเงินในคดีนี้ได้ระบุไว้โดยชัดแจ้งในข้อ 1.2 ว่า ภาษีเงินได้และภาษีอื่นที่โจทก์พึงจ่ายอันเกี่ยวเนื่องกับค่าตอบแทน จำเลยจะเป็นผู้จ่ายแทนในนามของโจทก์ทั้งสิ้น จำเลยจึงไม่มีสิทธิหักภาษี ณ ที่จ่ายนั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์จำเลยตกลงเลิกสัญญาบริการกันแล้วจึงไม่อยู่ในฐานะเป็นลูกจ้างและนายจ้างกันต่อไป จำเลยไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ ดังนั้น เงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความจึงมิใช่ค่าจ้างเมื่อโจทก์จำเลยตกลงเลิกสัญญากันแล้ว จำเลยไม่มีหน้าที่จะต้องชำระภาษีเงินได้แทนโจทก์ต่อไป และเงินที่จำเลยจะต้องจ่ายให้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความนี้เป็นเงินได้อันเนื่องมาจากสัญญาจ้างแรงงาน และเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากร จำเลยผู้จ่ายมีหน้าที่ต้องหักภาษีไว้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 ประกอบมาตรา 3 จตุทศแห่งประมวลรัษฎากร แล้วนำส่งเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพากรหากโจทก์เห็นว่าโจทก์เสียภาษีน้อยกว่าที่จำเลยหักไว้ก็เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องดำเนินการแก่กรมสรรพากรว่าด้วยเรื่องการคืนภาษีเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก
พิพากษายืน

Share