คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1370/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยโดยเหตุว่าอุทธรณ์ของจำเลยยื่นต่อศาลชั้นต้นโดยไม่วางเงินค่าธรรมเนียมศาลและค่าธรรมเนียมใช้แก่โจทก์เป็นการไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 229 นั้น มิใช่กรณีที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยด้วยเหตุเนื้อหาในอุทธรณ์ของจำเลยต้องห้ามอุทธรณ์ อันจะเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 และอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยเป็นการอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยเป็นการอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่รับการวางเงินค่าขึ้นศาลของจำเลย ซึ่งศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไว้ ดังนี้จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาได้ การขอขยายระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 23 จะมีผลผูกพันให้ผู้ขอต้องดำเนินกระบวนพิจารณาภายในกำหนดเวลาที่ขยายต่อเมื่อผู้ขอได้ทราบคำสั่งนั้นก่อนสิ้นกำหนดเวลาที่ขยายออกไป แต่ในคดีนี้ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขอขยายเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมของจำเลยในครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2538 หลังจากวันที่ 17 กรกฎาคม 2538 อันเป็นวันที่ศาลชั้นต้นกำหนดนัดให้จำเลยมาทราบคำสั่งและอนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมให้แก่จำเลยออกไปอีก 7 วัน นับแต่วันครบกำหนดเดิมซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 19 กรกฎาคม 2538 จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวและศาลชั้นต้นก็มิได้แจ้งคำสั่งดังกล่าวให้แก่จำเลยทราบ และตามคำร้องขอวางเงินค่าธรรมเนียมของจำเลยอ้างว่าได้ทราบคำสั่งในวันที่ 21 กรกฎาคม2538 อันเป็นเวลาภายหลังจากกำหนดระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมที่ศาลชั้นต้นได้สั่งอนุญาตไปแล้ว จำเลยจึงไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาภายในกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายและไม่ต้องผูกพันให้ต้องวางเงินค่าธรรมเนียมภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นได้ขยายให้ จึงต้องถือว่าระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นขยายให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่จำเลยทราบคำสั่งคือวันที่ 21 กรกฎาคม 2538 ระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมจึงสิ้นสุดลงวันที่ 28 กรกฎาคม 2538 เมื่อจำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขอวางเงินค่าธรรมเนียมต่อศาลในวันที่25 กรกฎาคม 2538 จึงยังไม่พ้นกำหนด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน92,100,503 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 8.5 ต่อปี จากต้นเงิน78,630,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน14,640,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13 ต่อปีนับแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2534 จนถึงวันฟ้องและดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 8.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ50,000 บาท
โจทก์และจำเลยทั้งสามอุทธรณ์ แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามเนื่องจากจำเลยทั้งสามไม่นำเงินค่าธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์มาวางภายในเวลากำหนดที่ศาลชั้นต้นขยายให้จำเลยทั้งสามอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับการวางเงินค่าธรรมเนียม ศาลชั้นอุทธรณ์และคำสั่งไม่รับอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่จำเลยทั้งสามยื่นอุทธรณ์โดยไม่วางเงินค่าธรรมเนียมศาลและค่าธรรมเนียมให้แก่โจทก์นั้นเป็นการไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ชอบแล้ว พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าทดแทนแก่โจทก์ ในอัตราตารางละ 120,000 บาทโดยไม่หักราคาที่ดินส่วนที่เพิ่มขึ้นจากที่ดินที่เหลือออกจากค่าทดแทน หากโจทก์ได้รับเงินค่าทดแทนจากจำเลยที่ 1 ไปแล้วเป็นจำนวนเท่าใดก็ให้หักเงินจำนวนนั้นออกจากสิทธิของโจทก์ตามคำพิพากษานี้ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับจำเลย
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามเป็นประการแรกว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่รับเงินค่าธรรมเนียมศาลที่จำเลยทั้งสามได้นำมาวางศาลไว้ในชั้นอุทธรณ์และคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามไว้พิจารณานั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงจากสำนวนปรากฎว่าจำเลยทั้งสามยื่นอุทธรณ์วันที่ 27 มิถุนายน 2538 ภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นได้ขยายเวลายื่นอุทธรณ์ให้แก่จำเลยทั้งสามพร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายเวลาวางเงินค่าขึ้นศาลและค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แทนคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งออกไปเป็นเวลา 15 วัน นับแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2538 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตตามที่จำเลยทั้งสามขอ ต่อมาวันที่ 10 กรกฎาคม 2538 ก่อนครบกำหนดระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมตามคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินครั้งที่ 1จำเลยทั้งสามได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมเป็นครั้งที่ 2 โดยขอขยายเวลาวางเงินค่าขึ้นศาลและค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แทนโจทก์ออกไปอีก 15 วัน นับแต่วันครบกำหนดที่ศาลอนุญาตให้ขยายเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมครั้งแรก และในคำร้องดังกล่าวมีข้อความระบุว่าให้จำเลยทั้งสามมาทราบคำสั่งในวันที่17 กรกฎาคม 2538 ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว และลงลายมือชื่อทนายของจำเลยทั้งสามไว้ในช่องผู้ร้อง ต่อมาวันที่18 กรกฎาคม 2538 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องของจำเลยทั้งสามดังกล่าวว่าอนุญาตเป็นครั้งสุดท้ายมีกำหนด 7 วัน นับแต่วันครบกำหนดเดิม วันที่ 25 กรกฎาคม 2538 จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขอวางเงินค่าธรรมเนียมทั้งหมดศาลชั้นต้นมีคำสั่งวันที่ 26กรกฎาคม 2538 ว่าเนื่องจากศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามจึงให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์จำนวน 200,000 บาทแก่จำเลยทั้งสามและมีคำสั่งในอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามในวันเดียวกันว่า เนื่องจากศาลมีคำสั่งคำร้องของจำเลยลงวันที่10 กรกฎาคม 2538 โดยอนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์มีกำหนด 7 วัน ซึ่งครบกำหนดในวันที่ 19 กรกฎาคม 2538แต่จำเลยทั้งสามมิได้นำเงินมาวางภายในกำหนดจึงไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสาม จำเลยทั้งสามจึงยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลชั้นต้น อนุญาตให้รับการวางเงินค่าธรรมเนียมและสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่จำเลยทั้งสามยื่นอุทธรณ์โดยไม่วางเงินค่าธรรมเนียมศาลและค่าธรรมเนียมที่ใช้แก่โจทก์นั้นเป็นการไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 229 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น เห็นว่า ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวการที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยโดยเหตุว่าอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามยื่นต่อศาลชั้นต้นโดยไม่วางเงินค่าธรรมเนียมศาลและค่าธรรมเนียมใช้แก่โจทก์เป็นการไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 นั้น มิใช่กรณีที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามด้วยเหตุเนื้อหาในอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามต้องห้ามอุทธรณ์ อันจะเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 และอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสามเป็นการอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่รับการวางเงินค่าขึ้นศาลของจำเลยทั้งสามด้วย ซึ่งศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยปัญหาดังกล่าว จำเลยทั้งสามจึงมีสิทธิฎีกาได้ และตามข้อเท็จจริงที่ได้ความดังกล่าวข้างต้น จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขอขยายเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมเป็นครั้งที่ 2 อีก 15 วัน ในวันที่ 10กรกฎาคม 2538 ก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายตามคำร้องของจำเลยทั้งสามในครั้งที่ 1 และต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมตามคำร้องของจำเลยทั้งสามในครั้งที่ 2 นี้เพียง7 วัน ซึ่งการขอขยายระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 23 จะมีผลผูกพันให้ผู้ขอต้องดำเนินกระบวนพิจารณาภายในกำหนดเวลาที่ขยายต่อเมื่อผู้ขอได้ทราบคำสั่งนั้นก่อนสิ้นกำหนดเวลาที่ขยายออกไป แต่ในคดีนี้ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขอขยายเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมของจำเลยทั้งสามในครั้งที่ 2 เมื่อวันที่18 กรกฎาคม 2538 หลังจากวันที่ 17 กรกฎาคม 2538 อันเป็นวันที่ศาลชั้นต้นกำหนดนัดให้จำเลยทั้งสามมาทราบคำสั่งและอนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมให้แก่จำเลยทั้งสามออกไปอีก7 วัน นับแต่วันครบกำหนดเดิม ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 19 กรกฎาคม2538 จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามได้ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวและศาลชั้นต้นก็มิได้แจ้งคำสั่งดังกล่าวให้แก่จำเลยทั้งสามทราบ ซึ่งตามคำร้องขอวางเงินค่าธรรมเนียมของจำเลยทั้งสามอ้างว่าได้ทราบคำสั่งในวันที่ 21 กรกฎาคม 2538 อันเป็นเวลาภายหลังจากกำหนดระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมที่ศาลชั้นต้นได้สั่งอนุญาตไปแล้ว จำเลยทั้งสามจึงไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาภายในกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายและไม่ต้องผูกพันให้ต้องวางเงินค่าธรรมเนียมภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นได้ขยายให้ และต้องถือว่าระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นขยายให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่จำเลยทั้งสามทราบคำสั่งคือวันที่ 21 กรกฎาคม 2538 ระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมจึงสิ้นสุดลงวันที่ 28 กรกฎาคม 2538 เมื่อจำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขอวางเงินค่าธรรมเนียมต่อศาลในวันที่ 25กรกฎาคม 2538 จึงยังไม่พ้นกำหนด การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับเงินค่าธรรมเนียมของจำเลยทั้งสามและมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามจึงไม่ชอบ และที่ศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยว่าการที่จำเลยทั้งสามยื่นอุทธรณ์โดยไม่วางเงินค่าธรรมเนียมศาลและค่าธรรมเนียมใช้แก่โจทก์เป็นการไม่ชอบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 โดยมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามว่าจำเลยทั้งสามวางเงินค่าธรรมเนียมภายในกำหนดแล้วหรือไม่ จึงไม่ถูกต้อง กระบวนพิจารณาในชั้นอุทธรณ์จึงมิชอบและเป็นกรณีที่ไม่ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณา มีเหตุสมควรต้องยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์รวมทั้งคำสั่งของศาลชั้นต้นและย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งใหม่
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับการวางเงินค่าธรรมเนียมศาลของจำเลยทั้งสามรวมทั้งคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสาม ให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องขอวางเงินค่าธรรมเนียมและอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามใหม่ ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้แก่จำเลยทั้งสามโดยให้หัก200 บาท

Share