แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องดังกล่าว จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีของโจทก์ไป 10,000 บาท สัญญาให้ดอกเบี้ยทุกวันสิ้นเดือน จำเลยที่ 1 ค้างดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2505 ตลอดมา ดังนี้ พอเป็นที่เข้าใจฟ้องได้ว่า จำเลยที่ 1 รับเงินตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไปแล้ว โจทก์จึงได้ฟ้องเรียกทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย เมื่อมีสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีหมาย จ.1 เป็นหลักฐานการกู้ยืมอยู่แล้ว การเบิกเงินไปแต่ละคราวภายหลังเป็นเรื่องบัญชีเดินสะพัด หาจำต้องมีหลักฐานการกู้เป็นหนังสือเป็นพิเศษอีกชั้นหนึ่งไม่ เพียงแต่จำเลยที่ 1 ออกเช็คสั่งธนาคารโจทก์ให้จ่ายเงินไปแล้ว จำเลยก็ต้องรับผิด
คดีมีประเด็นตามที่ศาลชั้นต้นชี้สองสถานว่า จำเลยที่ 1 ได้กู้รับเงินไปตามสัญญาหรือไม่ และมีการใช้เงินคืนหรือยัง การที่โจทก์อ้างหนังสือรับรองหนี้หมาย จ.4 ก็เพื่อแสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้รับเงินกู้ไปแล้ว และยังไม่ได้ใช้คืน จึงเป็นการสืบตรงประเด็น ส่วนการที่โจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารหมาย จ.4 ให้จำเลยนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 (2) ศาลมีอำนาจรับฟังได้ ถ้าเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งยุติธรรม
เมื่อคิดเอาดอกเบี้ยทบเข้าเป็นต้นแล้ว โจทก์ก็ย่อมจะคิดดอกเบี้ยจากดอกเบี้ยที่กลายสภาพเป็นต้นเงินไปแล้วได้อีก ดังนั้น ในกรณีคิดดอกเบี้ยทบต้น จำนวนดอกเบี้ยอาจเกินร้อยละ 15 ต่อปีได้ ถ้าคิดคำนวณเฉพาะจากต้นเงินเดิม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีของโจทก์ไป ๑๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ ๑ ไม่ชำระดอกเบี้ย จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้ชำระต้นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ยค้าง ๙,๒๓๔.๓๘ บาท และดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนชำระเสร็จ ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ใช้ ให้จำเลยที่ ๒ ใช้แทน
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า หากได้มีการกู้จริงก็ย่อมมีการชำระแล้ว จำเลยที่ ๒ เคยห้ามโจทก์ไม่ให้จ่ายเงินแก่จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระต้นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ดอกเบี้ยค้าง ๙,๒๓๔.๓๘ บาท รวม ๑๙,๒๓๔ บาท ๓๘ สตางค์ และให้จำเลยที่ ๑ ชำระดอกเบี้ยร้อยละ ๑๔ ต่อปี ตั้งแต่วันฟ้องในต้นเงิน ๑๙,๒๓๔.๓๘ บาท จนกว่าจะชำระเสร็จ ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระ ก็ให้จำเลยที่ ๒ ใช้แทน เป็นจำนวนดังนี้คือ ต้นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ดอกเบี้ยรวม ๕,๖๖๕.๖๒ บาท รวม ๑๕,๖๖๕.๖๒ บาท และให้ใช้ดอกเบี้ยร้อยละ ๑๔ ต่อปี ในต้นเงิน ๑๕,๖๖๕.๖๒ บาท จากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีหมาย จ.๒ ไม่ใช่เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม เพราะยังไม่ได้เบิกเงินไป การกู้ยังไม่บริบูรณ์
ศาลฎีกาได้พิจารณาคำฟ้องของโจทก์แล้ว ฟ้องกล่าวว่า จำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีของโจทก์ไป ๑๐,๐๐๐ บาท สัญญาให้ดอกเบี้ยทุกวันสิ้นเดือน จำเลยที่ ๑ ค้างดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๐๕ ตลอดมา ดังนี้ พอเป็นที่เข้าใจฟ้องได้ว่าจำเลยที่ ๑ รับเงินตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไปแล้ว โจทก์จึงได้ฟ้องเรียกทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อมีสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีหมาย จ.๑ เป็นหลักฐานการกู้ยืมอยู่แล้ว การเบิกเงินไปแต่ละคราวภายหลังเป็นเรื่องบัญชีเดินสะพัด หาจำต้องมีหลักฐานการกู้เป็นหนังสือเป็นพิเศษอีกชั้นหนึ่งไม่ เพียงแต่จำเลยที่ ๑ ออกเช็คสั่งธนาคารโจทก์ให้จ่ายเงินไปแล้ว จำเลยก็ต้องรับผิด
คดีนี้โจทก์ส่งอ้างหนังสือรับรองหนี้ของจำเลยที่ ๑ หมาย จ.๔ โดยไม่ได้ส่งสำเนาให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๐ จำเลยฎีกาว่าไม่ควรรับฟัง และทั้งโจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างการรับสภาพหนี้ไว้ เป็นการนำสืบนอกประเด็น เห็นว่า คดีนี้มีประเด็นตามที่ศาลชั้นต้นชี้สองสถานว่า จำเลยที่ ๑ ได้กู้รับเงินไปตามสัญญาหรือไม่ และมีการใช้เงินคืนหรือยัง การที่โจทก์อ้างหนังสือรับรองหนี้หมาย จ.๔ ก็เพื่อแสดงว่าจำเลยที่ ๑ ได้กู้รับเงินไปแล้ว และยังไม่ได้ใช้คืน จึงเป็นการสืบตรงประเด็น ส่วนการที่โจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารหมาย จ.๔ ให้จำเลยนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๘๗ (๒) ศาลมีอำนาจรับฟังได้ ถ้าเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม คดีนี้ศาลอุทธรณ์เห็นควรรับฟังเอกสารหมาย จ.๔ ได้ ซึ่งศาลฎีกาก็เห็นพ้องด้วย
จำเลยที่ ๒ ฎีกาอีกว่า โจทก์คิดเอาดอกเบี้ยทบต้นนั้นคิดเอาได้ แต่เมื่อรวมกันเข้าแล้วจะต้องไม่เกินอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี เห็นว่า เมื่อคิดดอกเบี้ยทบเข้าเป็นต้นแล้ว โจทก์ก็ย่อมจะคิดดอกเบี้ยจากดอกเบี้ยที่กลายสภาพเป็นต้นเงินไปแล้วได้อีก ดังนั้น ในกรณีคิดดอกเบี้ยทบต้น จำนวนดอกเบี้ยอาจเกินร้อยละ ๑๕ ต่อปีได้ ถ้าคิดคำนวณเฉพาะจากต้นเงินเดิม พิพากษายืน