คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1371/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีก่อน โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหายจากจำเลยฐานผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า. จำเลยได้นำเงินค่าเช่าที่ค้างชำระมาวางต่อศาล ในคดีนั้นศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและให้ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชนะคดี. ต่อมาโจทก์ขอรับเงินค่าเช่าที่จำเลยนำมาวางต่อศาล ศาลชั้นต้นสั่งให้ไปว่ากล่าวกันเอง จำเลยจึงรับเงินค่าเช่าที่วางไว้นั้นคืนไปจากศาล ดังนี้ ถือว่าการที่จำเลยนำเงินค่าเช่าที่ค้างชำระมาวางศาลโดยยอมรับผิดชดใช้ให้โจทก์นั้น เป็นการกระทำอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่าจำเลยยอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องในเงินค่าเช่าที่ค้างชำระนั้นแล้วอายุความสิทธิเรียกร้องในเงินค่าเช่าที่ค้างชำระนั้นจึงสะดุดหยุดลงตามมาตรา 172 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยรับเงินค่าเช่าที่ค้างชำระนั้นคืนไปจากศาลเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2512 ดังนั้นเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนั้นจึงสุดสิ้นลงในวันที่ 10มีนาคม 2512 จึงต้องเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่แต่เวลานั้นสืบไปตามความในมาตรา 181 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์โจทก์นำคดีมาฟ้องเรียกเงินค่าเช่าที่จำเลยค้างชำระดังกล่าวภายในกำหนด 5 ปี นับแต่วันที่จำเลยรับเงินไปจากศาลจึงไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินและตึกแถวที่ตำบลบางรักอำเภอบางรัก จังหวัดพระนคร โดยซื้อมาจากนายเอนก ค้าดี ขณะซื้อปรากฏว่าจำเลยมีสัญญาเช่าอยู่กับนายจิตร กิจพานิช ตามสำเนาสัญญาเช่าท้ายฟ้อง เมื่อ พ.ศ. 2504 โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย ศาลพิพากษาให้จำเลยอยู่ได้ครบ 10 ปี ซึ่งครบกำหนดการเช่าวันที่ 30 กันยายน 2511 ต่อมาปี พ.ศ. 2509 โจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระค่าเช่าที่ผิดนัดไม่ยอมชำระแต่เดือนมิถุนายน 2503 ในอัตราเดือนละ 80 บาท ศาลแพ่งให้โจทก์ชนะคดี จำเลยได้นำเงินค่าเช่าที่ค้าง 90 เดือน เป็นเงิน 7,200 บาท มาวางต่อศาลแพ่งแล้วออกไปจากตึกและส่งมอบตึกคืนให้โจทก์เมื่อ พ.ศ. 2511 ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยอยู่ต่อไปจนครบสัญญา โจทก์จึงขอรับเงินค่าเช่าที่จำเลยวางศาลศาลสั่งให้ไปตกลงกันเอง จำเลยกลับไปถอนเงินค่าเช่าที่วางไว้ต่อศาลคืนไปและไม่ยอมนำมาชำระให้โจทก์ ซึ่งจำเลยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัญญาเช่าเดิมที่ทำไว้กับนายจิตร กิจพานิช สัญญาเช่าหมดอายุลงแล้ว เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2511 และจำเลยต้องชำระค่าเช่าที่ค้างแต่เดือนมิถุนายน 2503 ถึงเดือนเมษายน 2511 รวม 103 เดือน ๆ ละ 80 บาท เป็นเงิน 8,240 บาท และภาษีโรงเรือนอีกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 – 2511 รวม 9 ปี ๆ ละ 225 บาท เป็นเงิน2,025 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 10,265 บาท โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉย จึงฟ้องขอให้จำเลยชำระค่าเช่าและค่าภาษีโรงเรือนที่ค้างชำระให้โจทก์เป็นเงิน 10,265 บาท และชำระดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี ในต้นเงิน 10,265 บาทแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ กับให้ใช้ค่าธรรมเนียมและค่าทนายความแทน

จำเลยให้การและเพิ่มเติมคำให้การว่า ค่าเช่าและค่าภาษีที่โจทก์ฟ้องเรียกนี้ขาดอายุความแล้ว ค่าภาษีโรงเรือนนั้นจำเลยไม่มีหน้าที่ต้องเสียแทนโจทก์ จำเลยไม่เคยรับหนังสือบอกกล่าวจากโจทก์จำเลยพยายามชำระค่าเช่าให้โจทก์ แต่โจทก์ไม่ยอมรับโดยจะเอาค่าเช่าเดือนละ 700 บาท หรือให้ผู้เช่าซื้อห้องละ 80,000 บาท จำเลยไม่ยอม โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและชนะคดีในศาลชั้นต้น แต่แพ้คดีในศาลอุทธรณ์ จำเลยออกจากห้องพิพาทไปอยู่ที่อื่นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์เอาห้องพิพาทไปขายคนอื่นแล้ว จำเลยจึงเข้าไปอยู่ไม่ได้ เมื่อโจทก์ขอรับเงิน ศาลชั้นต้นสั่งว่าโจทก์ไม่มีสิทธิรับเงิน

วันชี้สองสถาน จำเลยรับว่าหนังสือสัญญาเช่าท้ายฟ้องถูกฟ้องศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยเสียแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง 7,600 บาท ค่าภาษีโรงเรือน9 ปี เป็นเงิน 2,025 บาท รวมเป็นเงิน 9,625 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยเสียค่าธรรมเนียม ค่าทนายความ 200 บาทแทนโจทก์

จำเลยอุทธรณ์ว่า ค่าเช่าที่ค้างชำระตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2503 ถึงเดือนมกราคม 2508 รวม 56 เดือน เป็นเงิน 4,480 บาทนั้นเกิน 5 ปีแล้ว จึงขาดอายุความ

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การที่จำเลยเอาเงินมาวางศาลเป็นการรับสภาพหนี้ จึงไม่ขาดอายุความ พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยได้ทำสัญญาเช่าตึกจากผู้ให้เช่าเดิม เมื่อโจทก์ซื้อที่ดินและตึกพิพาทมาก่อนสัญญาเดิมสิ้นอายุ โจทก์ได้ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย จำเลยได้นำเงินค่าเช่าที่ค้างชำระตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2503 ถึงเดือนธันวาคม 2509 รวม 78 เดือน ค่าเช่าเดือนละ 80 บาท รวมเป็นเงิน 6,240 บาทมาวางต่อศาลแพ่งตามคดีของศาลแพ่งหมายเลขแดงที่ 4295-4302/2510 ในคดีนั้นศาลชั้นต้นได้พิพากษาขับไล่จำเลยและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 700 บาท ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยมีสิทธิอยู่ในที่เช่าตามสัญญาเช่าเดิมซึ่งมีกำหนด 10 ปี ส่วนค่าเช่าและค่าภาษีโรงเรือนที่จำเลยต้องใช้แก่โจทก์นั้น โจทก์ยังเรียกร้องไม่ได้ เพราะยังไม่ถือว่าจำเลยผิดนัดต่อมาโจทก์ขอรับเงินค่าเช่าที่จำเลยวางศาลไว้ แต่ศาลแพ่งสั่งให้ไปว่ากล่าวกันเอง จำเลยจึงมารับเงินที่วางไว้นี้ไปจากศาลหลังจากนั้นจำเลยยังคงค้างชำระค่าเช่าตลอดมาจนครบกำหนดสัญญาเช่าแล้วจำเลยก็ยังไม่ยอมชำระเงินจำนวนนี้และค่าเช่าที่ค้างชำระให้แก่โจทก์โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินจำนวนนี้จากจำเลยรวมทั้งค่าเช่าที่ค้างชำระแก่โจทก์ต่อมาด้วย

ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกร้องเงินค่าเช่าที่ค้างชำระตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2503 ถึงเดือนมกราคม 2508 รวม 56 เดือนเป็นเงิน 4,480 บาทจากจำเลย เพราะโจทก์ฟ้องเรียกร้องเงินจำนวนนี้เกิน 5 ปี ขาดอายุความแล้ว นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเงินค่าเช่าค้างชำระตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2503 ถึงเดือนมกราคม 2508 เป็นเงิน 4,480 บาทนั้น แม้จะเป็นค่าเช่าค้างส่งอันมีอายุความ 5 ปีตามมาตรา 166 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็ตาม แต่คดีปรากฎว่าจำเลยได้นำเงินจำนวน 4,480 บาท อันเป็นค่าเช่าค้างส่งดังกล่าวมาวางต่อศาลโดยยอมรับผิดชดใช้ให้โจทก์ จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่าจำเลยยอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องในเงินจำนวนดังกล่าวนี้แล้วอายุความสิทธิเรียกร้องในเงินจำนวนดังกล่าวนี้ย่อมสะดุดหยุดลงตามมาตรา 172 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แม้ต่อมาจำเลยจะได้รับเงินจำนวนนั้นคืนไปจากศาล ก็ไม่ทำให้อายุความที่สะดุดหยุดลงนั้นเปลี่ยนแปลงไป เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 181 บัญญัติว่าระยะเวลาที่ได้ล่วงไปก่อนนั้น ย่อมไม่นับเข้าในอายุความ และเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนั้นสุดสิ้นในเวลาใด ท่านให้เริ่มนับอายุความขึ้นใหม่แต่เวลานั้นสืบไป คดีปรากฏว่าจำเลยได้รับเงินจำนวนดังกล่าวคืนไปจากศาลแพ่ง เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2512 ฉะนั้น เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนั้นจึงสุดสิ้นในวันที่ 10 มีนาคม 2512 จึงต้องเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่แต่เวลานั้นสืบไปโจทก์ฟ้องเรียกร้องเงินจำนวนนี้เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2513 ภายในกำหนดอายุความ 5 ปี ฟ้องโจทก์ในเงินจำนวนนี้จึงไม่ขาดอายุความศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share