คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1370/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องขัดทรัพย์ ร้องขัดทรัพย์ กล่าวว่า ทรัพย์ที่ยึดเป็นของพี่สาวผู้ร้อง พี่สาวผู้ร้องตายเสียประมาณ 3 ปีเศษมานี้ ผู้ร้องเป็นทายาทได้ครอบครองตลอดมาโดยไม่มีทายาทอื่นโต้แย้งสิทธิแต่ประการใด จึงตกเป็นของผู้ร้องตามกฎหมาย ดังนี้คดีมีประเด็นที่จะวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า ผู้ร้องครอบครองมาฝ่ายเดียวเกิน 1 ปี ตามที่ผู้ร้องอ้างมาในคำร้องหรือหาไม่

ย่อยาว

เดิมโจทก์ฟ้องนายจำนงค์จำเลยว่า กู้เงินโจทก์ ศาลพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ โจทก์จึงขอยึดเรือนเสาไม้แก่นตามคดีแดงที่ 28/2492

ผู้ร้องขัดทรัพย์ จึงร้องขัดทรัพย์ขึ้นมาว่า เรือนนี้เป็นของนางลับพี่สาวผู้ร้อง นางลับพี่สาวผู้ร้องวายชนม์เมื่อประมาณ 3 ปีเศษมานี้ ผู้ร้องเป็นทายาทได้ครอบครองมาโดยไม่มีทายาทอื่นโต้แย้งสิทธิแต่ประการใด จึงตกเป็นของผู้ร้องตามกฎหมายจำเลยไม่มีสิทธิในทรัพย์นี้ ขอให้ถอนการยึด

ศาลชั้นต้นเห็นว่า ผู้ร้องครอบครองเรือนพิพาทเกิน 1 ปีนายจำนงสามีนางลับหมดสิทธิที่จะเรียกแบ่งมรดกรายนี้ได้ จึงให้ถอนการยึด

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การที่หยิบยกข้อที่ว่า จำเลยหมดสิทธิที่จะเรียกแบ่งมรดก เพราะไม่ใช่ทรัพย์ของจำเลยนั้น เป็นการหยิบยกเอาประเด็นอายุความ ซึ่งไม่มีการโต้เถียงกันในคดีมาวินิจฉัยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงพิพากษากลับให้ยกคำร้องของผู้ร้อง

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้ร้องได้กล่าวไว้ในคำร้องอย่างชัดแจ้งแล้วว่า “นางลับพี่สาวผู้ร้องได้วายชนม์เมื่อประมาณ 3 ปีเศษมานี้ ผู้ร้องเป็นทายาทได้ครอบครองตลอดมาโดยไม่มีทายาทอื่นโต้แย้งสิทธิแต่ประการใด จึงตกเป็นของผู้ร้องตามกฎหมาย” คดีจึงมีประเด็นที่จะวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า เป็นความจริงตามที่ผู้ร้องอ้างในคำร้องหรือไม่ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยว่าคดีไม่มีประเด็นในเหตุที่ศาลอุทธรณ์ อ้างมานั้น ส่วนข้อเท็จจริงฟังว่า ผู้ร้องไม่ได้ครอบครองเรือนพิพาทมาฝ่ายเดียว จำเลยได้อยู่เรือนหลังนี้ตลอดมา จำเลยผู้เป็นสามีนางลับเป็นผู้มีส่วนได้รับมรดกในเรือนพิพาท ซึ่งตกอยู่ในฐานะที่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ จะยึดเอามาชำระหนี้ของจำเลยได้ จึงให้ยกฎีกาของผู้ร้อง

คงพิพากษายืน

Share