แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ร้องขัดทรัพย์ร้องขัดทรัพย์ กล่าวว่า ทรัพย์ที่ยึดเป็นของพี่สาวผู้ร้อง พี่สาวผู้ร้องตายเสียประมาณ 3 ปีเศษมานี้ ผู้ร้องเป็นทายาทได้ครอบครองตลอดมาโดยไม่มีทายาทอื่นโต้แย้งสิทธิแต่ประการใด จึงตกเป็นของผู้ร้องตามกฎหมาย ดังนี้คดิมีประเด็นที่จะวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า ผู้ร้องครอบครองมาฝ่ายเดียวเกิน 1 ปี ตามที่ผู้ร้องอ้างมาในคำร้องหรือหาไม่
ย่อยาว
เดิมโจทก์ฟ้องนายจำนงค์จำเลยว่า กู้เงินโจทก์ศาลพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ โจทก์จึงขดยึดเรือนเสาไม้แก่นตามคดีแดงที่ ๒๘/๒๔๙๒
ผู้ร้องขัดทรัพย์จึงร้องขัดทรัพย์ขึ้นมาว่า เรือนนี้เป็นของนางลับพี่สาวผู้ร้อง นางลับพี่สาวผู้ร้องวายชนม์เมื่อประมาณ ๓ ปีเศษมานี้ ผู้ร้องเป็นทายาทได้ครอบครองมาโดยไม่มีทายาทอื่นโต้แย้งสิทธิแต่ประการใด จึงตกเป็นของผู้ร้องตามกฎหมายจำเลยไม่มีสิทธิในทรัพย์นี้ ขอให้ถอนการยึด
ศาลชั้นต้นเห็นว่าผู้ร้องครอบครองเรือนพิพาทเกิน ๑ ปีนายจำนงสามีนางลับหมดสิทธิที่จะเรียกแบ่งมรดกรายนี้ได้ จึงให้ถอนการยึด
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการที่หยิบยกข้อที่ว่าจำเลยหมดสิทธิที่จะเรียกแบ่งมรดก เพราะไม่ใช่ทรัพย์ของจำเลยนั้นเป็นการหยิบยกเอาประเด็นอายุความซึ่งไม่มีการโต้เถียงกันในคดีมาวินิจฉัย ไม่ชอบด้วย ก.ม. จึงพิพากษากลับให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้ร้องได้กล่าวไว้ในคำร้องอย่างชัดแจ้งแล้วว่า “นางลับพี่สาวผู้ร้องได้วายชนม์เมื่อประมาณ ๓ ปีเศษมานี้ผู้ร้องเป็นทายาทได้ครอบครองตลอดมาโดยไม่มีทายาทอื่นโต้แย้งสิทธิแต่ประการใด จึงตกเป็นของผู้ร้องตามกฎหมาย” คดีจึงมีประเด็นที่จะวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า เป็นความจริงตามที่ผู้ร้องอ้างในคำร้องหรือไม่ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยว่า คดีไม่มีประเด็นในเหตุที่ศาลอุทธรณ์อ้างมานั้น ส่วนข้อเท็จจริงฟังว่า ผู้ร้องไม่ได้ครอบครองเรือนพิพาทมาฝ่ายเดียวจำเลยได้อยู่เรือนหลังนี้ตลอดมา จำเลยผู้เป็นสามีนางลับเป็นผู้มีส่วนได้รับมรดกในเรือนพิพาท ซึ่งตกอยู่ในฐานะที่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ จะยืดเอามาชำระหนี้ของจำเลได้ จึงให้ยกฎีกาของผู้ร้อง
คงพิพากษายืน