คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 137/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามหนังสือสัญญาเช่าตึกพิพาท ปรากฏว่าผู้เช่าคือจำเลยที่ 1 เท่านั้นและค่าเช่าเพียงเดือนละ 60 บาท โจทก์ผู้ให้เช่าจะนำสืบว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่าด้วย และค่าเช่าเดือนละ 445.42 บาท ดังนี้ เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
ครบกำหนดสัญญาเช่าตึกและโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว จำเลยที่ 1ผู้เช่าไม่ส่งมอบตึกและจำเลยที่ 2 ทำการค้าอยู่ในตึกพิพาทต่อมา การอยู่ต่อมาของจำเลยที่ 2 เป็นการอยู่โดยละเมิดจริงดังฟ้อง แม้โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองโดยอ้างว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่าด้วยแต่ศาลฟังว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าแต่ผู้เดียว ดังนี้ ก็ต้องพิพากษาให้ขับไล่จำเลยที่ 2 ด้วย และให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดใช้ค่าเสียหาย กับร่วมใช้ค่าฤชาธรรมเนียม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ปลูกอาคารพาณิชย์ยนที่ดินที่โจทก์เป็นผู้ทรงสิทธิเหนือพื้นดิน โดยมอบให้นายกังฮี้ แซ่ลิ้ม เป็นตัวแทนดำเนินการปลูกสร้างจัดหาผู้เช่า ทำสัญญาและรับเงินจากผู้ขอเช่าจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภริยากันได้ติดต่อกับตัวแทนช่วงของนายกังฮี้ เช่าห้องเลขที่ 67/7 ของโจทก์เพื่อประกอบการค้าร้านดัดผมมีกำหนด 8 ปี โดยผู้เช่าต้องจ่ายเงินล่วงหน้า 37,000 บาท เป็นค่าตอบแทนการใช้ตึกของโจทก์และเสียค่าตอบแทนเป็นรายเดือนอีกเดือนละ 60 บาท ตลอดเวลา 8 ปี จำเลยต้องจ่ายเงินตอบแทนรวม 42,760 บาท จึงเป็นอัตราค่าเช่า 445.42 บาทต่อเดือน แต่ตัวแทนโจทก์มิได้กรอกจำนวนเงินล่วงหน้าลงไว้ในสัญญาเช่าด้วย คงลงไว้แต่เฉพาะค่าเช่าเดือนละ 60 บาทเท่านั้น ครั้นครบกำหนด 8 ปีจำเลยขอเช่าต่อไป แต่ให้ค่าเช่าต่ำมากจึงตกลงกันไม่ได้ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาให้จำเลยออกจากห้องเช่า จำเลยไม่ออก จำเลยทั้งสองอยู่ต่อมาโดยละเมิด ขอให้พิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกพิพาทให้ชำระค่าเช่าที่ค้าง 3 เดือน ๆ ละ 445.42 บาท เป็นเงิน 1,336.26 บาท ให้ชำระค่าเสียหายถึงวันฟ้อง 3,040.84 บาท และต่อจากวันฟ้องเดือนละ 1,520.42 บาท จนกว่าจะออกไป กับให้ชำระดอกเบี้ยจากเงิน 4,377.10 บาทด้วย

จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยทั้งสองมิได้เป็นสามีภริยากัน สิทธิการเช่าเป็นของจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียว จำเลยที่ 2 เป็นเพียงบริวารหรืออาศัย จำเลยที่ 1เช่าห้องพิพาทกับโจทก์โดยตกลงเช่ากับนายเปงกัง แซ่ลิ้ม ผู้ก่อสร้าง โดยเสียค่าก่อสร้างตึกให้นายเปงกัง 36,000 บาท ไม่ใช่ให้โจทก์ แล้วนายเปงกังจัดให้โจทก์ทำสัญญาเช่าให้จำเลย ค่าเช่าเดือนละ 60 บาท ไม่มีค่าเช่าล่วงหน้าไม่เคยตกลงค่าเช่าเดือนละ 445.42 บาท โจทก์ไม่เสียหายดังฟ้อง

จำเลยที่ 2 ให้การทำนองเดียวกับจำเลยที่ 1 ว่ามิได้เป็นสามีภริยากัน กระทำกิจการแยกกัน จำเลยที่ 2 ไม่เคยเช่าห้องจากใคร ไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยที่ 1 และบริวารออกจากตึกพิพาท (วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 เป็นเพียงบริวารของจำเลยที่ 1) ให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าที่ค้าง 3 เดือน เป็นเงิน 180 บาทให้โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 240 บาทตั้งแต่วันละเมิดถึงวันฟ้อง 2 เดือน เป็นเงิน 480 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและชำระค่าเสียหายเดือนละ 240 บาทนับแต่เดือนที่ฟ้องจนกว่าจำเลยที่ 1และบริวารจะออกไปค่าเสียหายหรือคำขอนอกนี้ให้ยก ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 2

โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่าตึกพิพาทด้วย และต้องร่วมรับผิดในค่าเช่าด้วยนั้น เห็นว่า การเช่าตึกพิพาทเป็นการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ต้องรับผิด จึงจะฟ้องร้องบังคับคดีได้ตามสัญญาเช่าตึกพิพาทปรากฏว่าผู้เช่าคือจำเลยที่ 1 เท่านั้น และค่าเช่าก็กำหนดไว้เพียงเดือนละ 60 บาท การที่โจทก์พยายามจะนำสืบว่าจำเลยที่ 2เป็นผู้เช่าตึกพิพาทด้วย และว่าค่าเช่าไม่ใช่เดือนละ 60 บาท แต่เป็นเดือนละ 445.42 บาทนั้น เป็นการสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาเช่า และไม่ใช่การสืบหักล้างเอกสาร ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 จึงต้องฟังว่าจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวเป็นผู้เช่า จำเลยที่ 2 มิได้เป็นผู้เช่า และมิได้เป็นคู่สัญญา จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดเฉพาะค่าเช่าที่โจทก์ฟ้องตามสัญญาเช่าและต้องฟังว่าค่าเช่าเดือนละ 60 บาทตามสัญญาเท่านั้น

โจทก์เป็นเจ้าของตึกพิพาท สัญญาเช่าครบกำหนดแล้ว และโจทก์ก็บอกเลิกสัญญาแล้ว แต่จำเลยไม่ส่งมอบตึกและทำการค้าอยู่ต่อมาการอยู่ต่อมาของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการอยู่โดยละเมิด การที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองแม้จำเลยที่ 2 จะไม่ใช่คู่สัญญาและไม่ใช่ผู้เช่า จำเลยที่ 2 ก็ต้องออกจากตึกพิพาทและต้องรับผิดในความเสียหายอันเกิดจากการที่ไม่ยอมออกไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ไม่ขับไล่จำเลยที่ 2 และไม่ให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดในผลแห่งการละเมิดนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากตึกพิพาทให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าที่ค้างรวม 3 เดือน 180 บาทแก่โจทก์ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดในค่าเสียหายเดือนละ 240 บาทนับแต่วันละเมิดถึงวันฟ้อง 2 เดือน เป็นเงิน 480 บาทพร้อมกับดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเงินเสร็จให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้ง 3 ศาลแทนโจทก์ด้วย

Share