คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1369/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้โจทก์ไม่มีพยานเห็นจำเลยปลูกกัญชา แต่ต้นกัญชาปลูกอยู่ในที่ดินของจำเลยซึ่งครอบครองเป็นสัดส่วน แยกต่างหากจากที่ดินของผู้อื่นโดยปลูกแซม กับต้นกาแฟ และมีความสูงเฉลี่ย 2 เมตร แสดงว่าต้องใช้ระยะเวลานาน พอสมควร จำเลยน่าจะรู้เห็นจึงไม่มีเหตุให้สงสัยว่า ต้นกัญชามิใช่ของจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 26, 75, 76, 102ริบกัญชาของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 26 วรรคหนึ่ง วรรคสอง, 75 วรรคหนึ่ง, 76 วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากันลงโทษฐานผลิตกัญชาจำคุก 2 ปี ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง แต่ริบของกลาง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าจำเลยกระทำผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่โจทก์มีร้อยตำรวจโทจรัญ พรหมคีรี และสิบตำรวจตรีสายยา สมบูรณ์เบิกความสอดคล้องกันว่า เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2539 ขณะพยานทั้งสองออกตรวจพื้นที่ถึงบริเวณบ้านห้วยกรวดได้รับแจ้งจากสายลับว่าภายในสวนจำเลยมีการลักลอบปลูกกัญชาเป็นจำนวนมาก พยานทั้งสองกับพวกจึงเดินทางไปยังสวนจำเลย พบว่ามีการปลูกต้นกัญชาแซม กับต้นกาแฟตรวจนับได้ 80 ต้น จึงถอนต้นกัญชายึดเป็นของกลาง นอกจากนั้นโจทก์ยังมีนายวิโรจน์ สินธุเสน และนางบุญสิน ยงกำลังมาเบิกความว่า บ้านและสวนจำเลยอยู่ติดเนิน เขา วันเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจนำกัญชาของกลางออกมาจากทางสวนจำเลยและโจทก์มีนายสมพงษ์ ดำเกาะสมุย ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมาเบิกความว่าเคยเตือนให้จำเลยทำลายต้นกัญชา แต่จำเลยเพิกเฉย จึงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยปลูกและมีกัญชาของกลางไว้ในครอบครอง ที่จำเลยนำสืบว่า สวนจำเลยปลูกเฉพาะทุเรียนสะตอ และเงาะ แต่มิได้ปฏิเสธกัญชาของกลางว่าเจ้าพนักงานตำรวจได้จากสวนจำเลยหรือของผู้ใดพยานหลักฐานจำเลยจึงไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่านายวิโรจน์และนางบุญสินมิได้เบิกความยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้ปลูกต้นกัญชาเห็นว่า แม้โจทก์ไม่มีพยานเห็นจำเลยปลูกกัญชา แต่ต้นกัญชาปลูกอยู่ในที่ดินของจำเลยซึ่งครอบครองเป็นสัดส่วนแยกต่างหากจากที่ดินของผู้อื่นโดยปลูกแซม กับต้นกาแฟ และมีความสูงเฉลี่ย 2 เมตร แสดงว่าต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควรจำเลยน่าจะรู้เห็นจึงไม่มีเหตุให้สงสัยว่าต้นกัญชามิใช่ของจำเลยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share