แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พ่อตาได้ยกครัวมาอยู่ร่วมเป็นครอบครัวกับลูกสาวลูกเขย จนลูกสาวตายลงแล้วได้ยกลูกสาวคนเล็กให้เป็นภริยาลูกเขยอีก ส่วนตนก็ยังคงอยู่ร่วมเป็นครัวเดียวกับลูกเขยต่อมาโดยไม่ขอแบ่งหรือฟ้องขอแบ่งมฤดกของลูกสาวคนแรกเกิน 1 ปี ก็ยังถือไม่ได้ว่าพ่อตาได้ทอดทิ้งไม่ฟ้องร้องว่ากล่าวขอแบ่งมรดกของลูกสาวคนแรกในอายุความล่วงเลยเกิน 1 ปี เพราะพฤตติการณ์ดังกล่าวย่อมถือได้ว่าพ่อตาได้เป็นเจ้าของในทรัพย์สินร่วมกับลูกเขยอยู่ด้วย
ทายาทด้วยกันบางคนขอให้ทนายความเข้ามาจัดการเกี่ยวข้องในเรื่องทรัพย์มรดกโดยลำพัง ถือว่าทนายนั้นไม่ใช่ผู้จัดการมรดกอันจะมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีจัดการและปันมรดกแต่มีฐานะเพียงแต่เป็นผู้เข้ามาจัดการทรัพย์สิน แทนทายาทผู้ที่ขอให้เข้ามาจัดการเท่านั้น
ทายาทด้วยกันทำความตกลงกนเองให้ทายาทคนหนึ่งเอาที่ดินของกองมรดกเป็นของตนโดยเอาเงินเข้ากองมรดก จำนวนหนึ่ง ดังนี้เรียกว่าเป็นการประมูลระหว่างทายาท มิใช่เป็นการขายทรัพย์มรดกให้พ้นจากการเป็นทรัพย์มรดำไปได้ หากเป็นการแบ่งมรดกกันเองฉะนั้นที่ดินนั้นยังคงเป็นทรัพย์สินในกองมรดกอยู่ ส่วนเงินจำนวนหนึ่งที่ทายาทผู้นั้นชำระในการประมูลไม่กลายเป็นทรัพย์สินกองมรดกฉะนั้นถ้าในภายหลังเกิดมี การแบ่งที่ดินแปลงนี้กันใหม่ ทายาทผู้ชำระราคาในการประมูลไปแล้วย่อมมีสิทธิหักเงินจำนวนที่ชำระไปแล้วคืนได้
ถ้าได้มีการขายทรัพย์สินกองมรดกให้แก่บุคคลภายนอกแล้วและไม่ปรากฎว่ามีเหตุไม่สุจริตในการขาย ก็ควรต้องถือเอาจำนวนเงินที่ขายได้นั้นเป็นกองมรดกโดยหักค่าใช้จ่ายในการนั้น ๆ ออกได้
ชายหญิงอยู่กินด้วยกันฉันท์สามีภริยา แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส หญิงมอบเงินให้กับชายเพื่อให้หาผลประโยชน์ให้ชายจึงเอาเงินนั้นไปให้คนอื่นกู้ ดังนี้หาใช่เป็นการตั้งชายเป็นตัวแทนไม่ กรณีดังนี้ชายต้องรับผิดคืนเงินนั้นให้หญิงโดยต้องถือว่า ชายเป็นผู้ให้กู้ย่อมมีสิทธิและความรับผิดต่อผู้กู้โดยตรง
เงินทีหญิงมอบให้ชายไว้นั้น ก็เท่ากับเงินฝากซึ่งผู้รับฝากจำต้องคืนให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 672
จำเลยให้การว่าสินสมรสไม่มีตามบัญชีท้ายฟ้องโจทก์ บางสิ่งก็ได้มาภายหลังที่ภรรยาตายแล้ว ซึ่งจำเลยนำสืบเวลาพิจารณาดังนี้ไม่เป็นการแสดงให้ชัดแจ้งในคำให้การว่าจำเลยปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ในราย การใดจำเลยจะกล่าวเอาเองว่าจะนำสืบในเวลาพิจารณานั้นย่อมไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์จากจำเลยในฐานที่จำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดการมรดกของหลวงมานิตทุมามาน และจำเลยที่ ๒ เป็นทายาทโดยกล่าวว่า
(ก) เมื่อ ๔๐ ปีมาแล้วนางชุบวิริยะมานิต บุตรีนายเชย วงษ์แพทย์ ซึ่งเป็นพี่สาวของโจทก์ร่วมบิดามารดาเดียวกัน ได้ทำการสมรสเป็นสามีภริยากกับหลวงมานิตทุมามาน โดยนางชุบมีทรัพยืสินเดิมตามบัญชีท้ายฟ้องหมายเลข ๑ รวมราคา ๑๓๘๐ บาท และได้มีสินสมรสเกิดขึ้นในระหว่างเป็นสามีภริยากับหลวงมานิตฯ ดังบัญชีหมายเลข ๒ รวมราคา ๕๐๑๑๓ บาท ๖๔ สตางค์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕ นางชุบถึงแก่กรรม นายเชย วงษ์แพทย์บิดามีสิทธิควรได้รับมรดกนางชุบรวมเป็นเงิน ๑๒๘๗๓ บาท แต่หลวงมานิตฯ และนายเชยยังมิได้แบ่งปันกัน คงปกครองร่วมกันมาจนนายเชย วงษ์แพทย์ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๘ โจทก์เป็นทายาทของนายเชยจึงขอรับมรดกแทนที่
(ข) นอกจากทรัพย์มรดกนางชุบอันควรได้แก่นายเชย ดังกล่าวแล้วนายเชยยังมีทรัพย์ส่วนตัว อันควรเป็นมรดกได้แก่โจทก์เก็บรักษาอยู่ในบ้านเรือนที่อยู่ร่วมกับหลวงมานิต ฯ อีกดังบัญชีหมายเลข ๓ รวมราคา ๑๕๓๐ บาท
(ค) เมื่อปีเศษมาแล้ว โจทก์ได้เป็นสามีภริยากับหลวงมานิตฯ โดยมีพิธีสมรสทางศาสนาโรมันคาทอลิก และอยู่กินด้วยกันมาจนหลวงมานิตถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๔๘๘ ในระหว่างอยู่กินด้วยกัน หลวงมานิตฯ ได้เอาเงินของโจทก์ไปให้นายชื่นกู้ ๒๐๐๐ บาท และได้ยึดสร้อยทองคำไว้เป็นหลักประกันนอกจากนี้หลวงมานิตยังได้เอาสร้อยข้อมือ สร้อยคอของโจทก์ไปเก็บไว้อีก ๔ สาย ราคา ๑๗๕๐ บาท ซึ่งกองมรดกหลวงมานิตฯ ต้องรับใช้ให้แก่โจทก์
(ง) เมื่อหลวงมานิตฯ ถึงแก่กรรมลงแล้ว โจทก์ได้เอาเงินค่าทำศพสิ้นไป ๕๕๒ บาท ตามบัญชี ๔
โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ใช้เงินตามฟ้องให้แก่โจทก์จำเลยต่อสู้ว่านางชุบไม่มีสินเดิม ฟ้องขาดอายุความต่อสู้อย่างอื่นอีกหลายประการ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า
(๑) ไม่เชื่อว่านางชุบมีสินเดิม นางชุบจึงไม่มีสิทธิในส่วนสมรสของหลวงมานิตฯ โจทก์จึงไม่มีส่วนที่จะรับสินสมรสได้เช่นเดียวกัน
(๒) ฟังว่าทรัพย์ตามบัญชีหมายเลข ๓ บางรายการเป็นของนายเชย
(๓) เชื่อว่าหลวงมานิตฯ ได้เอาเงินของโจทก์ให้นายชื่นกุ้ไป ๒๐๐๐ บาทจริง และได้เก็บสร้อยของโจทก์ให้ตามบัญชีหมายเลข ๕ อันดับ ๒ จริง
(๔) ค่าทำศพ ๕๕๒ บาทเชื่อว่าโจทก์ได้จ่ายจริงจึงพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีเท่าที่กล่าวในข้อ ๒, – ๓
ส่วนจำเลยที่ ๑ เข้ามาจัดการเกี่ยวข้องในเรื่องหน้าที่ทนายความและโดยความเรียกร้องของจำเลยอื่นที่เป็นทายาทจึงไม่ต้องรับผิดเป็น ส่วนตัว
โจทก์และจำเลยที่ ๒ – ๓ – ๔ ต่างอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย และพิพากษาแก้ว่า
(๑) ฟังว่านางชุบมีสินเดิม จึงมีสิทธิได้สินสมรสแต่ปรากฎว่านางชุบตายมาเกินกว่า ๑ ปี นายเชยมิได้เรียกร้องขอส่วนแบ่งปันจากหลวงมานิตฯ คดีจึงขาดอายุความแล้ว
(๒) เรื่องทรัพย์นายเชย วินิจฉัยว่าทรัพย์นายเชยมีมากกว่าที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย
จึงพิพากษาแก้ว่า ให้จำเลยส่งทรัพย์หมายเลข + แก่โจทก์มากกว่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษา นอกจากนั้นพิพากษายืน
โจทก์, จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่านางชุบมีสินเดิม ฉะนั้นเมื่อนางชุบตายนางชุบจึงมีมรดก คือสินเดิมและสินสมรสส่วนของนางชุบส่วนประเด็นที่ว่า สิทธิของนายเชยบิดาจะรับมฤดกนางชุบ ขาดอายุความรดกแล้วหรือยังนั้น เห็นว่าการที่นายเชยบิดานางชุบและพ่อตาหลวงมานิตฯ บุตรเขยได้ยกครัวมาอยู่ร่วมเป็นครอบครัวเดียวกับลูกสาวลูกเขยจนลูกสาวตายลง จนลูกเขยได้โจทก์ซึ่งเป็นลูกสาวคนเล็กเป็นเมียอีกคนหนึ่ง แม้ยังมิได้จดทะเบียนสมรส ก็จะยังถือไม่ได้ว่านายเชยทอดทิ้งไม่ฟ้องร้องว่ากล่าวขอแบ่งมรดกของนางชุบในอายุความล่วงเลย ๑ ปี และเห็นว่านายเชยมีส่วนเป็นเจ้าของในกองทรัพย์สินที่จำเลยอ้างว่าเป็นมรดกของหลวงมานิตฯ ทั้งหมดนั้นอยู่ด้วย โจทก์จึงมีสิทธิได้รับมรดกของนายเชย คือทรัพย์อันเป็นส่วนตัวเฉพาะนายเชยประเภทหนึ่ง และทรัพย์ที่นายเชยมีส่วนเป็นเจ้าของร่วมอยู่ในกองทรัพย์สินของหลวงมานิตฯ เป็นส่วนมรดกของนางชุบ อันที่จะตกได้แก่นายเชยอีกประเภทหนึ่ง
สำหรับทรัพย์ประเภทหนึ่งนั้น เห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ว่าทรัพย์ตามบัญชีหมายเลข ๓ เป็นของนายเชยทั้งหมด
ส่วนทรัพย์ประเภท ๒ ฟังว่า นางชุบมีสินเดิมรวมเป็นเงิน๑๓๘๐ บาท
สินสมรสจำเลยเถียงว่า ไม่มีตามบัญชีท้ายฟ้องโจทก์และหลายสิ่งได้มาเมื่อนางชุบตายแล้ว ซึ่งจำเลยจะนำสืบในเวลาพิจารณาดังนี้ไม่เรียกว่า จำเลยแสดงชัดแจ้งในคำให้การว่าปฏิเสธรายการใด ศาลฟังว่าสินสมรสคือที่ดินบ้านเรือน คือ ที่ดินโฉนดที่ ๒๒๔๐ และเรือนปั้นหยาหนึ่งหลังปรากฎว่า จำเลยที่ ๑ ได้ทำความตกลงกับจำเลยที่ ๒-๓ ให้จำเลยที่ ๒ เอาเงินเข้ากองมรดก ๕๐๐ บาท เพื่อเอาที่ดินเป็นของตน และให้จำเลยที่ ๓ เอาเงินเข้ากองมรดก ๒๕๐๐ บาท เพื่อเอาเรือนเป็นของตน เรียกกันว่าเป็นการประมูลระหว่างทายาท ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลล่างที่ว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ใช่ผู้จัดการมรดกอันจะมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีจัดการและปันมรดก ฉะนั้นจำเลยที่ ๑ จึงมีฐานะเพียงแต่เป็นผู้จัดการทรัพย์สินแทนจำเลยที่ ๒-๓-๔ และนางชี ฉะนั้นการที่จัดทำกันโดยเรียกว่าประมูลกันเองในระหว่างทายาทนั้น จึงมิใช่เป็นการขายทรัพย์มรดกให้พ้นจากการเป็นทรัพย์มรดกไปได้ หากเป็นการแบ่งมรดกกันนั้นเอง ราคาที่ต่างชำระในการประมูลจึงไม่กลายเป็นทรัพย์สินกองมรดก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับที่ดินโฉนดที่ ๒๒๔๐ นั้น ก็ยังหาได้มีการทำหนังสือและจดทะเบียนการซื้อขายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อย่างใดไม่ ยังไม่เป็นการซื้อขายจึงชี้ขาดว่าที่ดินโฉนดที่ ๒๔๔๐ ยังคงเป็นทรัพย์สินในกองมรดกรายนี้อยู่ โดยให้จำเลยที่ ๒ มีสิทธิเรียกเงินจำนวน ๕๐๐ บาทที่จ่ายเข้ากองมรดกคืนไป ส่วนสำหรับเรือนนั้นปรากฏว่า จำเลยที่ ๓ รื้อไปหมดแล้ว ควรตั้งราคาตามที่โจทก์ตีราคามาท้ายฟ้องเพราะจำเลยไม่มีพยานผู้ชำนาญในการตีราคามาแสดงเป็นอย่างอื่น จึงกำหนดราคา ๘๐๐๐ บาท ซึ่งจำเลยที่ ๓ จะต้องส่งคืนเข้ากองมรดก หักเงิน ๒๕๐๐ บาทที่จำเลยที่ ๓ ส่งเข้ากองมรดกไว้แล้ว ส่วนทรัพย์อย่างอื่นอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ปรากฎว่ามีการขายให้แก่บุคคลที่ ๓ ไปแล้วนั้น ไม่ปรากฎว่ามีเหตุส่อความไม่สุจริต การถือเอาราคาที่ขายได้นั้นเป็นกองมรดกโดยหักค่าใช้จ่ายในการนั้น ๆ ออกได้
เงิน ๒๐๐๐ บาทที่หลวงมานิตฯ ได้ให้นายชื่นกู้ไปนั้นปรากฎว่าเป็นเงินของโจทก์ ฝ่ายจำเลยถือว่าหลวงมานิตฯ เป็นตัวแทนโจทก์ ๆ ต้องไปเรียกร้องจากลูกหนี้นั้นเอาเอง ศาลฎีกาเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างหลวงมานิตฯ กับโจทก์นั้นก็ยังเป็นผัวเมียกันโดยพฤตินัย เมียมอบเงินให้อยู่ในกำมือผัวเพื่อหาผลประโยชน์ให้หาใช่เป็นการตั้งตัวแทนให้ไปทำนิติกรรมให้กู้อย่างใดไม่ หลวงมานิตฯ เป็นผู้ให้กู้ ย่อมมีสิทธิและความรับผิดต่อผู้กู้โดยตรงอยู่ เงินที่โจทก์มอบให้หลวงมานิตฯ ไว้นั้นเท่ากับเงินฝากซึ่งผู้รับฝากจำต้องคืนให้ตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๖๗๒ จึงชี้ขาดว่าโจทก์มีสิทธิได้รับชำระเงิน ๒๐๐๐ บาทจากกองมรดกด้วย
จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้โจทก์มีสิทธิแบ่งทรัพย์กองมรดกหลวงมานิตฯ ตามนัยที่กล่าวแล้วตามส่วนของโจทก์ด้วย