คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1368/2552

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์กู้ยืมเงินจากจำเลยที่ 1 และมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) หนังสือสำคัญที่ดินพิพาท หนังสือมอบอำนาจให้จดทะเบียนโอนของ ค. เจ้าของที่ดินเดิมและลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจโดยที่ยังไม่กรอกข้อความให้ไว้แก่จำเลยที่ 1 เป็นประกันหนี้กู้ยืมต่อมาจำเลยที่ 1 ปลอมหนังสือมอบอำนาจดังวกล่าวด้วยการกรอกข้อความโดยไม่ได้รับความยินยอมและฝ่าฝืนคำสั่งของโจทก์โอนขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมทำให้บุคคลภายนอกผู้สุจริตหลงเข้าใจว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของโจทก์ในที่ดินพิพาททั้งการที่โจทก์ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจโดยไม่กรอกข้อความถือเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง โจทก์ไม่อาจยกเอาความผิดของตนดังกล่าวมาปฏิเสธความผิดต่อจำเลยที่ 2 ซึ่งรับโอนที่ดินพิพาทมาโดยสุจริต

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณปี 2522 โจทก์ได้ซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 167 ตำบลกำเนิดนพคุณ อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เนื้อที่ 1 งาน 20 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านไม้ชั้นเดียว 3 คูหา จากนายคำรณในราคา 70,000 บาท แต่ยังไม่สามารถโอนทางทะเบียน เนื่องจากที่ดินดังกล่าวอยู่ในกำหนดห้ามโอนภายใน 10 ปี ต่อมาปลายปี 2530 โจทก์ได้ไปดำเนินการจดทะเบียนซื้อขายที่สำนักงานที่ดินอำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยนำหนังสือมอบอำนาจของนายคำรณไปเป็นหลักฐาน เนื่องจากโจทก์ต้องการนำที่ดินไปเป็นหลักประกันในการกู้ยืมเงินกับบุคคลอื่น แต่จะต้องมีการประกาศตามระเบียบของกรมที่ดิน จึงไม่สามารถจดทะเบียนโอนได้โดยเร็ว จำเลยที่ 1 จึงให้โจทก์ยืมเงิน 60,000 บาท และนำเอกสารราชการหลายฉบับมาให้โจทก์ลงลายมือชื่อโดยยังมิได้กรอกข้อความใด ๆ และจำเลยที่ 1 ได้ขอหนังสือรับรองการทำประโยชน์ หนังสือมอบอำนาจฉบับลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2530 รวมทั้งเอกสารต่าง ๆ ที่นำมาให้โจทก์ลงลายมือชื่อไปเก็บไว้ ต่อมาปลายปี 2533 โจทก์ได้กลับมาติดต่อกับจำเลยที่ 1 ขอชำระหนี้เงินกู้ยืม 60,000 บาท และขอรับหนังสือรับรองการทำประโยชน์คืน แต่จำเลยที่ 1 กลับแจ้งว่าได้ขายที่ดินของโจทก์ให้จำเลยที่ 2 เป็นเงิน 150,000 บาท และโอนเป็นของจำเลยที่ 2 แล้ว โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ร่วมกันปลอมหนังสือมอบอำนาจของโจทก์รวม 2 ฉบับ ไปทำการโอนที่ดินกัน แล้วจดทะเบียนจำนองแก่จำเลยที่ 3 ในวงเงิน 150,000 บาท และต่อมาเดือนธันวาคม 2536 จำเลยที่ 2 ได้รื้อบ้านของโจทก์ที่อยู่ในที่ดินพิพาท โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสามดำเนินการเพิกถอนการโอนระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และเพิกถอนการจดทะเบียนจำนองและชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ 700,000 บาท โดยโจทก์จะคืนเงินกู้ 60,000 บาท ให้จำเลยที่ 1 แต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉย ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 167 ตำบลกำเนิดนพคุณ อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และให้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองที่ดินดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 2 และที่ 3 หากจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ไปดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้จำเลยทั้งสามนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวมาคืนโจทก์และโจทก์จะชำระหนี้เงินกู้ 60,000 บาท ให้จำเลยที่ 1 และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 700,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2530 โจทก์ได้มายื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธินิติกรรมซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งนายคำรณได้ขายให้แก่โจทก์ราคา 70,000 บาท โจทก์ได้นำหนังสือมอบอำนาจของนายคำรณ ลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2530 ซึ่งมีปลัดอำเภอรับรองพร้อมหนังสือรับรองการทำประโยชน์มาด้วย จำเลยที่ 1 รับเรื่องไว้แล้วเสนอต่อนายอำเภอ แต่จะต้องประกาศก่อนจดทะเบียน 30 วัน เมื่อครบกำหนดแล้วจำเลยที่ 1 มีหนังสือแจ้งให้โจทก์มาดำเนินการจดทะเบียน แต่โจทก์เพิกเฉยไม่มาดำเนินการจนกระทั่งเดือนกรกฎาคม 2531 จำเลยที่ 1 ย้ายไปรับราชการที่สำนักงานที่ดินอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จึงไม่เกี่ยวข้องกับการทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินตามฟ้องระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด จำเลยที่ 1 ไม่เคยให้โจทก์กู้ยืมเงิน 60,000 บาท จำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้โจทก์ลงลายมือชื่อในเอกสารราชการที่ยังไม่กรอกข้อความ จำเลยที่ 1 เคยรับหนังสือรับรองการทำประโยชน์และหนังสือมอบอำนาจลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2530 จากโจทก์จริง แต่รับไว้ในฐานะที่เป็นเจ้าพนักงานที่ดินแล้วเก็บไว้ในสารบบความของทางราชการไม่ได้นำมาเก็บไว้กับตนเอง จำเลยที่ 1 ไม่ได้ปลอมหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ฉบับลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2530 และ 20 มกราคม 2533 จำเลยที่ 1 ไม่เคยนำที่ดินของโจทก์ไปขายให้จำเลยที่ 2 และไม่เคยรับเงินใด ๆ จากจำเลยที่ 2 ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ทำนิติกรรมซื้อที่ดินตามฟ้องโดยสุจริตเนื่องจากโจทก์ได้มอบเอกสารสิทธิและหนังสือมอบอำนาจให้ไว้แก่จำเลยที่ 1 การที่โจทก์ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจโดยไม่กรอกข้อความ แม้เป็นความจริงก็ถือว่าเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์เอง โจทก์จะอ้างหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวให้เป็นที่เสียหายแก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนหาได้ไม่ จำเลยที่ 2 ได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวโดยสงบเปิดเผยและเจตนาให้ได้สิทธิครอบครองเป็นเวลาเกิน 1 ปีแล้ว ที่พิพาทจึงตกเป็นสิทธิของจำเลยที่ 2 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ผ่อนชำระหนี้จำนองให้จำเลยที่ 1 เสร็จสิ้นและจำเลยที่ 3 คืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินตามฟ้องให้จำเลยที่ 2 ไปแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 3 ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 6,000 บาท แทนจำเลยทั้งสอง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อปี 2522 โจทก์ซื้อที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 167 ตำบลกำเนิดนพคุณ อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งอยู่ในกำหนดเวลาห้ามโอนจากนายคำรณเจ้าของที่ดิน ต่อมาวันที่ 2 พฤศจิกายน 2530 หลังจากพ้นกำหนดเวาลาโอน นายคำรณทำหนังสือมอบอำนาจตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ. 8 ให้โจทก์ไปดำเนินการโอน วันที่ 6 พฤศจิกายน 2530 โจทก์ไปยื่นคำขอเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมต่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดิน และเจ้าพนักงานที่ดินได้ปิดประกาศการขอจดทะเบียน แต่เมื่อครบกำหนดประกาศ โจทก์มิได้ดำเนินการโอน ต่อมาวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2533 จำเลยที่ 2 จดทะเบียนโอนเป็นของโจทก์โดยอาศัยหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.8 และวันเดียวกัน จำเลยที่ 2 จดทะเบียนโอนเป็นของจำเลยที่ 2 โดยอาศัยหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.11
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิขอเพิกถอนนิติกรรมการโอนระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 หรือไม่ โดยโจทก์อ้างว่านิติกรรมการโอนเกิดจากหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.11 เป็นเอกสารปลอม ซึ่งเกี่ยวกับหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.11 ปลอมนี้ โจทก์ได้ร้องทุกข์ดำเนินคดีจำเลยที่ 1 ข้อหาปลอมเอกสารและจำเลยที่ 2 ข้อหาใช้เอกสารปลอมและคดีถึงที่สุดแล้วโดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ซึ่งพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานปลอมเอกสาร และยกฟ้องจำเลยที่ 2 ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 3448/2551 ข้อเท็จจริงคดีนี้จึงต้องถือตามข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าว เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ซึ่งข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวฟังว่า โจทก์กู้ยืมเงินจากจำเลยที่ 1 และมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) หนังสือสำคัญที่ดินพิพาท หนังสือมอบอำนาจให้จดทะเบียนโอนตามเอกสารหมาย จ.8 ของนายคำรณเจ้าของที่ดินเดิมและลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ.11 โดยที่ยังไม่กรอกข้อความให้ไว้แก่จำเลยที่ 1 เป็นประกันหนี้กู้ยืม ซึ่งต่อมาจำเลยที่ 1 ปลอมหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวด้วยการกรอกข้อความโดยไม่ได้รับความยินยอมและฝ่าฝืนคำสั่งของโจทก์โอนขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมทำให้บุคคลภายนอกผู้สุจริตหลงเข้าใจว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของโจทก์ในที่ดินพิพาท ทั้งการที่โจทก์ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจโดยไม่กรอกข้อความถือเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง โจทก์ไม่อาจยกเอาความผิดของตนดังกล่าวมาปฏิเสธความรับผิดต่อจำเลยที่ 2 ซึ่งรับโอนที่ดินพิพาทมาโดยสุจริต ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกฟ้องมา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 2,000 บาท แทนจำเลยทั้งสอง

Share