คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 93/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

++ เรื่อง ความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ++
++ โจทก์ฎีกา
++ โปรดดูย่อจากหนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา สำนักงานศาลยุติธรรม
++ เล่มที่ 1 หน้า 48 ++
++ ขอดูชุดพิเศษโปรดติดต่อห้องบริการเอกสารสำเนาคำพิพากษา (ห้องสมุด) ชั้น 4, 5 ++

ย่อยาว

เรื่อง ความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ
โจทก์ ฎีกาคัดค้าน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ลงวันที่ ๒๕ เดือน ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑
ศาลฎีกา รับวันที่ ๒ เดือน กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๗เวลากลางวัน จำเลยมีเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท ๑จำนวน ๔ หลอด น้ำหนัก ๐.๓๐ กรัม และมีกัญชาอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ จำนวน ๑ ถุง หนัก ๑ กรัม ไว้ในครอบครอง และจำหน่ายเฮโรอีนจำนวน ๒ หลอด น้ำหนัก ๐.๑๔ กรัม ให้แก่ผู้มีชื่อในราคา ๒๐๐ บาทโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุเกิดที่ตำบลดงขวาง อำเภอหนองขาหย่างจังหวัดอุทัยธานี เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมเฮโรอีนจำนวน ๒ หลอดที่เหลือจากการจำหน่ายให้แก่ผู้มีชื่อ และกัญชาจำนวน ๑ ถุง เป็นของกลางกัญชาของกลางหมดไปในการตรวจพิสูจน์ ก่อนคดีนี้จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก ๑ เดือน และปรับ ๒,๕๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ ๑ ปี ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๓๙๙/๒๕๓๗ ของศาลชั้นต้น ภายในระยะเวลาที่รอการลงโทษจำเลยกลับมากระทำความผิดเป็นคดีนี้อีก ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗, ๘,๑๕, ๒๖, ๖๖, ๖๗, ๗๖, ๑๐๒ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๘,๙๑ ริบเฮโรอีนของกลาง และนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีดังกล่าวมาบวกเข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง,๖๖ วรรคหนึ่ง, ๖๗, ๒๖ วรรคหนึ่ง, ๗๖ วรรคหนึ่ง เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๙๑ ฐานจำหน่ายเฮโรอีน จำคุก ๕ ปี ฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก ๒ ปี ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก ๒ เดือน รวมโทษจำคุก ๗ ปี ๒ เดือน จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ หนึ่งในสาม คงจำคุก๔ ปี ๙ เดือน ๑๐ วัน บวกโทษจำคุก ๑ เดือน ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๓๙๙/๒๕๓๗ ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๕๘ รวมจำคุก ๔ ปี ๑๐ เดือน ๑๐ วัน ริบเฮโรอีนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง แต่เฮโรอีนของกลางให้ริบ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๗ เวลาประมาณ ๘ นาฬิการ้อยตำรวจตรีวิชา บุญส่ง และร้อยตำรวจตรีประดิษฐ์ แน่งน้อย ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ไปจับกุมยาเสพติดให้โทษที่บ้านจำเลย เนื่องจากสืบทราบมาว่ามีการจำหน่ายยาเสพติดให้โทษ ร้อยตำรวจตรีวิชากับพวกไปถึงบ้านจำเลยเวลาประมาณ ๙ นาฬิกา และกระจายกำลังซุ่มสังเกตการณ์รอประมาณ ๑ ชั่วโมง เห็นนายสุริยะ พึ่งเพ็ญ และนายอนุสรณ์ศักดิ์ ฟักเสือขับรถจักรยานยนต์นั่งซ้อนท้ายมาที่บ้านจำเลย และยืนคุยอยู่กับจำเลยครู่หนึ่งจากนั้นจำเลยได้ออกจากบ้านไปเป็นเวลาประมาณ ๓๐ นาที แล้วกลับมายื่นสิ่งของให้แก่นายสุริยะและนายอนุสรณ์ศักดิ์ ร้อยตำรวจตรีวิชากับพวกสงสัยว่าจะเป็นยาเสพติดให้โทษจึงให้สัญญาณเข้าจับกุม จากการตรวจค้นพบเฮโรอีนจำนวน ๒ หลอด และกัญชาจำนวน ๑ ถุง ที่กระเป๋ากางเกงของจำเลยจึงแจ้งข้อหาจำเลยว่า มีเฮโรอีนและกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และจำหน่ายเฮโรอีน จำเลยให้การรับสารภาพตามบันทึกการตรวจค้นและจับกุมเอกสารหมาย จ.๑ จากนั้นควบคุมตัวจำเลยพร้อมของกลางไปมอบให้พันตำรวจโทโกศล เลือดไทย พนักงานสอบสวนในชั้นสอบสวนแจ้งข้อหาเช่นเดียวกับชั้นจับกุม จำเลยให้การปฏิเสธ
จำเลยนำสืบว่า เมื่อเช้าวันเกิดเหตุจำเลยจะไปรับจ้างถางหญ้าจึงเดินผ่านร้านค้าของนางเล็ก และแวะซื้อเครื่องดื่มกระทิงแดงกับบุหรี่ขณะที่กำลังซื้อของ นางเล็กได้ใช้ให้จำเลยนำสิ่งของซึ่งห่อด้วยกระดาษไปให้ชาย ๒ คน ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามห่างจากร้านนางเล็กประมาณ ๑๐ เมตรจำเลยจึงนำของไปส่งให้แก่ชาย ๒ คน จากนั้นได้มีเจ้าพนักงานตำรวจวิ่งออกมาจับจำเลยกับชายทั้งสองคน และขณะที่อยู่ที่สถานีตำรวจเจ้าพนักงานตำรวจได้นำกระดาษซึ่งมีการกรอกข้อความแล้วมาให้จำเลยลงลายมือชื่อโดยไม่ได้อ่านให้ฟัง
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า วันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจไปแอบซุ่มเห็นจำเลยส่งมอบเฮโรอีนให้แก่นายสุริยะและนายอนุสรณ์ศักดิ์ที่บริเวณเกิดเหตุจึงเข้าจับกุมจำเลย นายสุริยะและนายอนุสรณ์ศักดิ์นำส่งพนักงานสอบสวน โดยเฉพาะเกี่ยวกับจำเลยนั้น เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมส่งมอบพร้อมเฮโรอีนจำนวน ๒ หลอด และกัญชาจำนวน๑ ถุง ตามบันทึกการตรวจค้นและจับกุมเอกสารหมาย จ.๑ กล่าวหาเป็นคดีนี้ ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ
มีปัญหาต้องวินิจฉัยชั้นนี้ว่า จำเลยกระทำผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์มีร้อยตำรวจตรีวิชา และร้อยตำรวจตรีประดิษฐ์มาเบิกความเป็นพยานว่า ไปแอบซุ่มเห็นจำเลยส่งสิ่งของให้นายสุริยะและนายอนุสรณ์ศักดิ์จึงเข้าจับกุมค้นได้เฮโรอีนและกัญชาของกลางจากกระเป๋ากางเกงของจำเลย โดยโจทก์ยังมีนายสุริยะมาเบิกความอีกว่านายสุริยะและนายอนุสรณ์ศักดิ์มาขอซื้อเฮโรอีนจากจำเลย เมื่อจำเลยเดินไปหลังบ้านกลับมาแล้วก็ได้เอาเฮโรอีนยื่นให้นายสุริยะและนายอนุสรณ์ศักดิ์คนละหลอด เป็นการเบิกความสอดคล้องต้องกันรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องนั้น เห็นว่า แม้โจทก์จะมีร้อยตำรวจตรีวิชา ร้อยตำรวจตรีประดิษฐ์และนายสุริยะมาเบิกความเป็นพยานถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวก็ตามแต่จำเลยได้นำสืบต่อสู้ว่า เฮโรอีนที่จำเลยส่งมอบให้แก่นายสุริยะและนายอนุสรณ์ศักดิ์นั้นนางเล็กเจ้าของร้านค้าของชำฝากมาให้ จำเลยไม่รู้ว่าเป็นเฮโรอีนและเจ้าพนักงานตำรวจมิได้ค้นตัวจำเลย ทั้งกัญชาก็มิได้เป็นของจำเลยด้วย ซึ่งเมื่อพิจารณาคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามปากดังกล่าวแล้วก็แตกต่างขัดกันมีเหตุน่าสงสัยเป็นพิรุธ โดยในเบื้องต้นนายสุริยะเบิกความว่า นายอนุสรณ์ศักดิ์เคยพานายสุริยะไปซื้อเฮโรอีนจากจำเลยมาก่อน ๒ ถึง ๓ ครั้งแล้ว และที่รู้จักจำเลยก็ด้วยนายอนุสรณ์ศักดิ์เป็นคนพาไปพบจำเลยก่อนเกิดเหตุคดีนี้ ๑ สัปดาห์อันแสดงว่านายสุริยะไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อน ที่รู้จักก็โดยการชักนำของนายอนุสรณ์ศักดิ์ แต่ตามคำให้การของนายอนุสรณ์ศักดิ์ในชั้นสอบสวนเอกสารหมาย ป.จ.๑ กลับได้ความว่า นายอนุสรณ์ศักดิ์เพิ่งรู้จักจำเลยเป็นครั้งแรกในวันเกิดเหตุ และรู้จักชื่อจำเลยภายหลังที่เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมแล้ว ดังนั้นเมื่อนายอนุสรณ์ศักดิ์ก็เพิ่งรู้จักจำเลยในวันเกิดเหตุจึงเป็นไปไม่ได้ที่นายอนุสรณ์ศักดิ์จะเป็นผู้พานายสุริยะไปขอซื้อเฮโรอีนจากจำเลยก่อนคดีนี้มา ๒ ถึง ๓ ครั้งแล้วเช่นกัน การที่นายสุริยะเบิกความว่ารู้จักจำเลยก่อนเกิดเหตุคดีนี้ ๑ สัปดาห์โดยนายอนุสรณ์ศักดิ์เป็นคนพาไปพบจำเลยนั้น จึงไม่มีน้ำหนักที่จะให้รับฟังได้เช่นนั้น ประกอบกับที่นายสุริยะเบิกความตอบทนายความจำเลยถามค้านว่า ที่เคยไปซื้อเฮโรอีน๒ ถึง ๓ ครั้งนั้นไปซื้อกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ร้านค้าของชำอยู่บริเวณหน้าบ้านจำเลยด้วยเช่นนี้จึงเป็นพฤติการณ์ที่ทำให้เห็นว่า นายสุริยะและนายอนุสรณ์ศักดิ์ไม่เคยรู้จักกับจำเลยมาก่อนซึ่งเจือสมกับคำเบิกความของจำเลย นอกจากนี้นายสุริยะได้เบิกความตอบทนายความจำเลยถามค้านอีกว่า ในวันเกิดเหตุไปติดต่อขอซื้อเฮโรอีนที่ร้านค้าของชำ ผู้หญิงที่เคยขอซื้อบอกให้เลี้ยวไปรอในซอยเดี๋ยวจะมีคนเอามาให้ ได้ไปรอประมาณครึ่งชั่วโมง จำเลยก็ถือเฮโรอีนมาให้จำนวน ๒ หลอด บอกว่ามีคนฝากมาให้ พอดีเจ้าพนักงานตำรวจเข้ามาจับกุมก็ยิ่งทำให้เห็นว่า จำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นเพียงผู้รับฝากนำเฮโรอีนมามอบให้แก่นายสุริยะและนายอนุสรณ์ศักดิ์เท่านั้น นายสุริยะและนายอนุสรณ์ศักดิ์มิได้มาติดต่อขอซื้อเฮโรอีนจากจำเลย อันเป็นการเจือสมกับคำเบิกความของจำเลยที่ว่า นางเล็กเจ้าของร้านค้าของชำฝากมาให้นายสุริยะและนายอนุสรณ์ศักดิ์ซึ่งจำเลยไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่การที่จำเลยนำเฮโรอีนไปมอบให้นายสุริยะและนายอนุสรณ์ศักดิ์นั้นจะถือว่าเป็นการจำหน่ายเฮโรอีนโดยการแบ่งงานกันทำกับนางเล็กเจ้าของร้านค้าของชำที่จะลงโทษจำเลยในความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนได้ตามที่โจทก์ฎีกาหรือไม่นั้น เห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นเพียงผู้รับฝากเฮโรอีนจากนางเล็กนำไปให้นายสุริยะและนายอนุสรณ์ศักดิ์เท่านั้นดังที่วินิจฉัยมาแล้ว ดังนั้นการที่จะรับฟังลงโทษจำเลยฐานจำหน่ายเฮโรอีนได้ก็ต่อเมื่อรับฟังได้ว่าจำเลยได้รู้ว่าห่อของที่นำไปให้นายสุริยะและนายอนุสรณ์ศักดิ์เป็นเฮโรอีนเท่านั้น แต่จำเลยจะรู้ว่าเป็นเฮโรอีนหรือไม่นั้น เมื่อพิจารณาพฤติการณ์ของจำเลยตามคำเบิกความของนายสุริยะที่ว่า เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุม จำเลยยืนเฉย ๆ ไม่ได้วิ่งหนีไปไหน เจ้าพนักงานตำรวจสอบถามจำเลยก็ตอบปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง จึงเห็นได้ว่า หากจำเลยรู้ว่าห่อของที่จำเลยรับฝากจากนางเล็กนำมาให้นายสุริยะและนายอนุสรณ์ศักดิ์เป็นเฮโรอีนแล้ว โดยสัญชาติญาณจำเลยคงจะวิ่งหนีไปไม่ยอมให้จับกุมการที่จำเลยมิได้หลบหนีจึงอาจเป็นไปได้ว่าจำเลยไม่รู้ว่าห่อของที่นำมาให้นายสุริยะและนายอนุสรณ์ศักดิ์เป็นเฮโรอีน ประกอบกับโจทก์ก็มิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยได้เกี่ยวข้องเป็นผู้ร่วมจำหน่ายเฮโรอีนกับนางเล็กด้วยหรือไม่ อย่างไร พฤติการณ์จึงน่าเชื่อว่าจำเลยคงจะไม่ทราบว่าเป็นห่อเฮโรอีน ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าเจ้าพนักงานตำรวจค้นเฮโรอีนได้จากจำเลยจำนวน ๒ หลอด และกัญชาจำนวน ๑ ถุงนั้น นายสุริยะพยานโจทก์ก็มิได้เบิกความถึงว่าเจ้าพนักงานตำรวจได้ค้นตัวจำเลยแต่อย่างใด คงเบิกความตอบโจทก์ว่า เจ้าพนักงานตำรวจค้นตัวนายอนุสรณ์ศักดิ์ได้เฮโรอีนจำนวน ๒ หลอด และยึดกัญชาวางอยู่ที่เขียงใกล้ ๆ บริเวณป่ากล้วยไว้ โดยตอบทนายความจำเลยถามค้านว่า จำเลยปฏิเสธว่ากัญชาไม่ใช่ของจำเลยเช่นกัน อันแสดงว่าจำเลยได้ให้การปฏิเสธว่าเจ้าพนักงานตำรวจมิได้ตรวจค้นได้เฮโรอีนและกัญชาจากจำเลยทั้งนำสืบปฏิเสธความถูกต้องของบันทึกการตรวจค้นและจับกุมที่บันทึกไว้ว่าจำเลยรับสารภาพตามข้อกล่าวหาตามบันทึกการตรวจค้นและจับกุมเอกสารหมาย จ.๑ ด้วย ประกอบกับเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจควบคุมจำเลยส่งมอบให้แก่พนักงานสอบสวน จำเลยก็ให้การปฏิเสธด้วยเช่นนี้พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาจึงยังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายกฟ้องนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน.

Share