แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในกรณีที่จำเลยเพียงแต่ตกลงจ้างโจทก์ให้เป็นทนายความดำเนินคดี โดยยังมิได้ตกลงกำหนดอัตราค่าจ้างเป็นจำนวนเท่าใดแน่นอนนั้น ศาลย่อมมีอำนาจที่จะพิจารณากำหนดอัตราค่าจ้างให้ตามสมควรแก่กิจการที่โจทก์ได้กระทำไปได้
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์เพียงแต่พาจำเลยไปอายัดที่ดินไว้ ณ สำนักงานที่ดิน และมิได้ดำเนินคดีฟ้องร้องต่อศาลแต่ประการใด การที่จำเลยกับ พ. ตกลงเรื่องที่พิพาทกันได้ ก็เพราะบุคคลภายนอกเป็นผู้ไกล่เกลี่ย ไม่ใช่โจทก์ ฉะนั้น ที่ศาลกำหนดค่าจ้างให้โจทก์ 2,000 บาท จึงย่อมเป็นการสมควรแก่งานที่โจทก์ได้กระทำไป
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์ซึ่งเป็นทนายความให้จัดการทวงถามทรัพย์มรดกของบุตรจำเลยจากนายพร นุชน้อย หากทวงถามไม่ตกลงก็ให้ดำเนินคดี จำเลยยอมให้ค่าจ้างโจทก์เป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท จะชำระให้เมื่อตกลงกันได้ หรือคดีถึงที่สุด ดังปรากฏตามสำเนาสัญญาจ้าง จำเลยได้นำเงินค่าธรรมเนียม ๓,๐๐๐ บาทมามอบให้โจทก์ไว้ดำเนินคดี ต่อมาโจทก์จัดการไกล่เกลี่ยให้นายพรโอนมรดกที่ดินให้จำเลยเป็นที่เรียบร้อย โดยไม่ต้องดำเนินคดี จำเลยแจ้งให้โจทก์หักค่าธรรมเนียม ๓,๐๐๐ บาทไว้เป็นค่าจ้าง ที่เหลืออีก ๑๗,๐๐๐ บาท ขอผัดชำระภายใน ๗ วัน แต่จำเลยไม่ชำระ จึงขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าจ้างที่ค้าง ๑๗,๐๐๐ บาทให้โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ได้ตกลงให้โจทก์ดำเนินคดีกับนายพรจริง แต่เรื่องค่าจ้างว่าความนั้น ได้ตกลงเอาไว้พูดกันภายหลัง โจทก์ทำหนังสือเรื่องฟ้องคดีโดยมิได้อ่านให้ฟัง หลอกลวงให้จำเลยหลงเชื่อ จำเลยจึงได้พิมพ์ลายนิ้วมือลงไป จำเลยนำเงิน ๓,๐๐๐ บาท มามอบให้โจทก์ไว้ดำเนินคดี แต่โจทก์เพิกเฉยไม่จัดการอย่างใด ต่อมาพระครูสมุทรวรคุณได้ไกล่เกลี่ยจำเลยกับนายพรจนตกลงกันได้เป็นที่เรียบร้อย จำเลยจึงทวงเงินค่าธรรมเนียม ๓,๐๐๐ บาท แต่โจทก์ไม่ยอมคืน อ้างว่าจำเลยทำสัญญาจ้างโจทก์ดำเนินคดีเป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท จำเลยยังต้องให้เงินโจทก์อีก ๑๗,๐๐๐ บาท จำเลยจึงทราบว่าโจทก์หลอกลวงให้จำเลยพิมพ์ลายนิ้วมือในสัญญาจ้างว่าความ โจทก์มิได้ทำความสำเร็จในกิจการที่จ้าง จึงไม่มีสิทธิที่จะได้รับค่าจ้างตามฟ้อง จำเลยไม่เคยยอมให้โจทก์หักค่าธรรมเนียมไว้เป็นค่าจ้าง ขอให้โจทก์คืนเงินค่าธรรมเนียม ๓,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี จนกว่าจะชำระเสร็จ และขอให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า แม้จำเลยจะไม่แจ้งมอบเงิน ๓,๐๐๐ บาท ให้โจทก์ โจทก์ก็มีสิทธิยึดหน่วงไว้จนกว่าจำเลยจะชำระค่าจ้างตามสัญญาจ้างจนครบ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า สัญญาจ้างว่าความเป็นสัญญาจ้างทำของ ไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์ จึงใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีไม่ได้ แต่โจทก์นำสืบพยานบุคคลฟังได้ว่าจำเลยตกลงจ้างโจทก์ดำเนินคดีกับนายพร เป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาทจริง แต่ผลงานที่โจทก์ทำไปเพียงแจ้งการอายัดที่ดิน กับพิมพ์ฟ้องคดีแพ่งและอาญาไว้เท่านั้น เห็นควรคิดให้เพียง ๒,๐๐๐ บาท และเงินค่าธรรมเนียม ๓,๐๐๐ บาท โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะยึดไว้ได้ พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๒,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ และให้โจทก์คืนเงิน ๓,๐๐๐ บาทให้จำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยตกลงจ้างโจทก์ว่าความเป็นจำนวนเงิน ๒๐,๐๐๐ บาทจริง เมื่อโจทก์ได้ทำงานให้จำเลยแล้ว จะเป็นงานมากหรือน้อย ก็ไม่ใช่ข้อที่ศาลจะนำมาวินิจฉัยลดค่าจ้างลงเหลือเพียง ๒,๐๐๐ บาทได้ โจทก์ควรได้ค่าจ้างเต็มจำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท โดยเมื่อหักเงินค่าธรรมเนียม ๓,๐๐๐ บาทออกแล้ว จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์อีก ๑๗,๐๐๐ บาท
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเพียงแต่ตกลงจ้างโจทก์เป็นทนายความให้ดำเนินคดีกับนายพร แต่ยังมิได้ตกลงกำหนดอัตราค่าจ้างกับโจทก์เป็นจำนวนเท่าใดแน่นอน ฉะนั้น เมื่อกรณีเป็นเรื่องที่ยังมิได้ตกลงอัตราค่าจ้างว่าความกันเช่นนี้ ศาลจึงมีอำนาจที่จะพิจารณาให้ตามสมควรแก่กิจการที่กระทำไปได้ ซึ่งพิเคราะห์แล้ว กิจการที่โจทก์ได้กระทำไปในเรื่องนี้ โจทก์เพียงแต่พาจำเลยไปทำการอายัดที่ดินไว้ ณ สำนักงานที่ดินเท่านั้น มิได้มีการดำเนินคดีฟ้องร้องต่อศาลประการใด จำเลยกับนายพรตกลงเรื่องที่พิพาทกันได้ เพราะพระครูสมุทรวรคุณเป็นผู้ไกล่เกลี่ยมิใช่โจทก์ ฉะนั้น ที่ศาลล่างกำหนดค่าจ้างให้โจทก์ ๒,๐๐๐ บาท จึงเป็นการสมควรแก่งานที่โจทก์ได้กระทำไปแล้ว
พิพากษายืน