คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1367/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้สาบสูญได้ทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองยกที่ดินพิพาทให้สุเหร่าคันนายาวต่อเมื่อได้ทำการจดทะเบียนเป็นมูลนิธิถูกต้องตามกฎหมาย อันเป็นการแสดงเจตนาโดยปริยายตัดทายาทโดยธรรมของตนทุกคนมิให้รับมรดกในที่ดินพิพาท ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1608 วรรคสอง เมื่อสุเหร่าคันนายาวได้จดทะเบียนเป็นมัสยิดจำเลยมีฐานะเป็นนิติบุคคลในทำนองเดียวกับมูลนิธิตามที่ปรากฏในพินัยกรรม ย่อมเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของผู้ทำพินัยกรรม ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นของจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสามฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามเป็นผู้จัดการมรดกของนางเจ๊ะ ฟาอิดิน นางเจ๊ะมีทรัพย์มรดกเป็นที่ดินเนื้อที่ 12 ไร่ 40 ตารางวา จำเลยยึดหน่วงครอบครองโฉนดที่ดินดังกล่าวไว้โดยไม่มีเหตุอันสมควร โจทก์ทั้งสามไม่สามารถแบ่งปันมรดกให้เสร็จสิ้นได้ ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินแก่โจทก์ทั้งสาม หากส่งมอบไม่ได้ขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินแทนโฉนดที่ดินที่สูญหาย
จำเลยให้การว่า ก่อนนางเจ๊ะ ฟาอิดิน เจ้ามรดกถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2490 นางเจ๊ะได้ทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองในเรื่องการจัดการทรัพย์สินของตนเอง โดยเฉพาะที่ดินโฉนดเลขที่ 1493 ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่จำเลย (สุเหร่าคันนายาว) ให้จำเลยสามารถใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินดังกล่าวอย่างเป็นเจ้าของ อีกทั้งเมื่อนางเจ๊ะได้ทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองดังกล่าว ได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินและส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 1493 ให้แก่จำเลย และตัวแทนของจำเลยเป็นผู้เก็บรักษาในฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์มีสิทธิยึดถือครอบครองโฉนดและที่ดินโดยสุจริตตลอดมา จำเลยมีเจตนาในการยึดที่ดินและโฉนดที่พิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตนโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ โจทก์ทั้งสามหรือทายาทของนางเจ๊ะทุกคนต่างทราบดี จนถึงปัจจุบันเป็นเวลาเกินกว่าสิบปีแล้ว จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ และฟ้องโจทก์ทั้งสามขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานของโจทก์ซึ่งรับฟังได้มั่นคงว่านางเจ๊ะได้ทำนัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองยกที่ดินพิพาทให้จำเลยจริง อันเป็นการแสดงเจตนาโดยปริยายตัดทายาทโดยธรรมของตนทุกคนมิให้รับมรดกในที่ดินพิพาท ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1608 วรรคสอง เมื่อจำเลยได้จดทะเบียนเป็นมัสยิดมีฐานะเป็นนิติบุคคลในทำนองเดียวกับมูลนิธิตามที่ปรากฏในพินัยกรรมแล้วย่อมเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของผู้ทำพินัยกรรม ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นของจำเลย โจทก์ทั้งสามไม่มีอำนาจจัดการมรดกเกี่ยวกับที่ดินพิพาท เพื่อนำมาแบ่งปันแก่ทายาทโดยธรรมอีกต่อไป
พิพากษายืน ให้โจทก์ทั้งสามใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนจำเลย 30,000 บาท

Share