คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1367/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 เป็นนายจ้าง จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่1ลูกจ้างในผลแห่งละเมิดซึ่งจำเลยที่ 1 ได้กระทำไปในทางการที่จ้าง จำเลยที่ 2 จึงอยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้เช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 หนี้ที่โจทก์ฟ้องเป็นหนี้อันเกิดแต่มูลละเมิด จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกหนี้ย่อมได้ชื่อว่าผิดนัดมาแต่เวลาที่จำเลยที่ 1 ทำละเมิด ดังนั้น โจทก์จึงไม่จำต้องบอกกล่าวและแจ้งถึงค่าเสียหายให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ก่อนฟ้องคดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ได้ขับรถไปในทางการที่จ้าง ชนรถโจทก์เสียหายและโจทก์ต้องขาดประโยชน์จากการใช้รถรวมเป็นเงิน ๓๔๘,๖๑๐ บาท จึงขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า โจทก์ไม่เคยแจ้งให้จำเลยที่ ๒ ทราบถึงค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับก่อนที่จะนำคดีมาฟ้อง เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ ๒๗๖,๖๑๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันละเมิดไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ปัญหาข้อแรกที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่าก่อนฟ้องโจทก์ไม่ได้แจ้งถึงค่าเสียหายให้จำเลยที่ ๒ ทราบ ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่าจำเลยที่ ๒ เป็นนายจ้าง จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ลูกจ้างในผลแห่งละเมิดซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้กระทำไปในทางการที่จ้าง จำเลยที่ ๒ จึงอยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้เช่นเดียวกับจำเลยที่ ๑ หนี้ในคดีนี้เป็นหนี้อันเกิดแต่มูลละเมิด จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นลูกหนี้ย่อมได้ชื่อว่าผิดนัดมาแต่เวลาที่จำเลยที่ ๑ ทำละเมิดตามมาตรา ๒๐๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้นการฟ้องจำเลยที่ ๒ นายจ้างให้ร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดที่ลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้าง โจทก์จึงไม่จำต้องบอกกล่าวทวงถามและแจ้งถึงค่าเสียหายให้จำเลยที่ ๒ ชำระหนี้ก่อน และวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าโจทก์ควรได้รับค่าเสียหายรวมเป็นเงิน ๒๐๐,๖๑๐ บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๒๐๐,๖๑๐ บาทแก่โจทก์

Share