คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1367/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2494 เวลากลางวัน(06.00 น.)จำเลยปล้นทรัพย์แม้ทางพิจารณาได้ความว่าเวลาเกิดเหตุเป็นเวลาขมุกขมัวมีแสงสว่างบ้างแล้วซึ่งจะถือว่าเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนก็ใกล้เคียงกันมาก จะฟังว่าข้อเท็จจริงได้ความว่าเหตุเกิดเวลากลางคืนต่างกับข้อเท็จจริงในฟ้องซึ่งบรรยายว่าเหตุเกิดเวลากลางวัน จึงให้ยกฟ้องโจทก์ตาม ป.วิ.อาญา ม.192 ยังไม่ได้และเมื่อฟ้องของโจทก์จำเลยก็เข้าใจข้อหาได้ดีโดยไม่หลงข้อต่อสู้จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามป.วิ.อาญา มาตรา 158

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๔๙๔ เวลากลางวัน(๐๖.๐๐ น.)จำเลยสมคบกันกับพวกอีกคนหนึ่งที่ยังจับตัวไม่ได้ทำการปล้นทรัพย์สิ่งของต่าง ๆของนางบ่ง ฯลฯไปหลายอย่างรวมราคา ๑๘๖ บาท ๓๐ สตางค์ ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๓๐๑ พระราชบัญญัติแก้ไขกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ. ๒๔๗๗(ฉบับที่ ๔) มาตรา ๗
จำเลยทั้งสองให้การปฎิเสธ
ศาลจังหวัดสกลนคร เชื่อว่าขณะเกิดเหตุตะวันยังไม่ขึ้นตามที่โ่จทก์จำสืบและยังเป็ฯเวลากลางคืนตามกฎหมายอยู่แต่โ่จทก์บรรยายฟ้องว่าเหตุเกิดเวลากลางวัน แคนละเวลากันข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงทโจทก์กล่าวบรรยายในฟ้อง ลงโทษจำเลบไม่ได้ตามป.วิ.อาญา มาตรา ๑๙๒ พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่ผู้พิพากษานายหนึ่งทำความเห็นแย้งว่า จะถือว่าข้อเท็จจริงผิดกับคำฟ้องในเรื่องเวลาเสียทีเดียวหาได้ไม่ เพราะน่าเชื่อว่าเกิดเหตุในเวลาราว ๖ นาฬิกาตามคำฟ้องและจำเลยไม่หลงข้อต่อสู้ ควรยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงในเรื่องการกระทำผิดด้วยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ
โจทก์ฏีกาว่า ขณะเกิดเหตุสว่างแล้วและมีสีแดงบนท้องฟ้า ถือได้ว่าพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว จึงเป็นเวลากลางวัน ขอให้ลงโทษ
ศาลฎีกาเห็นว่า เวลาเกิดเหตุเป็นเวลาขมุกขมัวมีแสงสว่างบ้างแล้วซึ่งจะถือว่าเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนก็ใกล้เคียงกันมาก แลโจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้ชัดแจ้งแล้วว่าเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๔๙๔ เวลา(๐๖.๐๐ น.) สำหรับคดีนี้จำเลยก็เข้าใจข้อหาได้ดีโดยไม่หลงขอ้ต่อสู้ และไม่าต่างกับฟ้อง
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงในเรื่องการกระทำผิดของจำเลยแล้วพิพกาษาเสียใหม่

Share