แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยเป็นเจ้าหนี้โจทก์ ถ้าหากมูลหนี้นั้นหักกลบลบหนี้กันได้ จำเลยก็ย่อมฟ้องแย้งโจทก์ในคดีนั้น ขอให้หักกลบลบหนี้และชำระหนี้ส่วนที่เกินแก่จำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระต้นเงินกู้ 7,500 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยให้การแก้คดีและฟ้องแย้งว่าความจริงเป็นเรื่องเข้าหุ้นส่วนกันตกข้าว โจทก์ลงทุน 4,000 บาท กับสินค้าอาหารราคา 3,500 บาท จำเลยเป็นฝ่ายลงแรง แต่โจทก์ให้จำเลยทำหนังสือสัญญากู้พรางความจริงไว้และยึดเอาหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์หรือใบเสร็จนาไว้ 2 ฉบับ จำเลยจัดการได้ข้าวมาและขายได้เงิน 23,760 บาทได้มอบให้โจทก์รักษาไว้ เมื่อหักเงินทุนโจทก์ 7,500 บาท ออกแล้วคงเหลือกำไรที่โจทก์จะต้องแบ่งให้จำเลย 8,130 บาท จึงขอให้ศาลบังคับให้โจทก์คืนหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์หรือใบเสร็จนา และชำระเงิน 8,130 บาท ให้จำเลย
โจทก์แก้ฟ้องแย้งว่า ไม่ได้เข้าหุ้น และไม่ได้รับเงิน 23,760 บาท ไว้และตัดฟ้องว่า เป็นการนำสืบแก้ไขเอกสาร และฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยสืบสมพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ให้โจทก์ชำระเงิน 8,130 บาท แต่จำเลยกับให้คืนหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์หรือใบเสร็จนา
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยจะสืบความจริงเป็นเรื่องหุ้นส่วนมิใช่กู้เงินกันไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 พิพากษากลับให้จำเลยใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยตามสัญญากู้
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าตามฟ้องแย้งจำเลยรับว่าได้ทำสัญญากู้ให้โจทก์จริง แต่ขอหักกับเงินราคาข้าวที่จำเลยมอบให้โจทก์รักษา ซึ่งจำเลยทวงถามแล้วโจทก์ไม่ชำระให้ ซึ่งเป็นมูลหนี้ที่จะหักกลบลบกันได้ และการนำสืบถึงมูลหนี้ตามฟ้องแย้ง ไม่ใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงตามฟ้องแย้งจึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เสีย ให้พิจารณาพิพากษาใหม่