คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1363/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมรับผิดชำระเงินแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จำเลยที่ 2ให้การปฏิเสธฟ้องของโจทก์ทั้งสิ้นแต่ไม่อ้างเหตุแห่งการปฏิเสธ คำให้การของจำเลยที่ 2 จึงไม่มีประเด็นที่จะนำสืบ แต่โจทก์ยังมีภาระที่จะต้องนำสืบพิสูจน์ว่าจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ตามฟ้อง ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ทำให้จำเลยที่ 2 หมดโอกาสที่จะซักค้านพยานโจทก์ทั้งที่จำเลยที่ 2 ไปศาลในวันสืบพยานโจทก์สำหรับจำเลยที่1แล้ว จึงเป็นการพิจารณาที่ไม่ถูกต้อง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์โดยมีจำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกัน แล้วจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินตามสัญญากู้พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่าไม่ได้เข้าเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ตามฟ้อง จำเลยที่ 2 เคยค้ำประกันจำเลยที่ 1 แต่ภาระผูกพันสิ้นสุดไปแล้วเอกสารท้ายฟ้องทั้งหมดไม่ถูกต้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้สืบพยานโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 เห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ สั่งงดสืบพยานโจทก์กับจำเลยที่ 2 และพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินตามฟ้อง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ใหม่ตามรูปคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 2 ยื่นคำให้การปฏิเสธฟ้องของโจทก์ทั้งสิ้น แม้จะไม่อ้างเหตุแห่งการปฏิเสธทำให้จำเลยที่ 2 ไม่มีประเด็นที่จะต้องนำสืบ แต่โจทก์ก็ยังมีภาระที่จะต้องนำสืบพิสูจน์ให้เห็นว่าจำเลยที่2 เป็นผู้ค้ำประกันและต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ตามฟ้องการที่ศาลชั้นต้นสั่งให้งดสืบพยานโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2นั้น ทำให้จำเลยที่ 2 หมดโอกาสที่จะซักค้านพยานโจทก์ทั้งที่จำเลยที่ 2 ได้ไปศาลในวันสืบพยานโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1ฉะนั้น ที่ศาลชั้นต้นสั่งให้งดสืบพยานโจทก์สำหรับจำเลยที่2 ด้วย จึงเป็นการพิจารณาที่ไม่ชอบ
พิพากษายืน.

Share