คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1362/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานซื้อฝิ่นและฐานมีฝิ่นดิบไว้ในครอบครอง ปรากฏว่าระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ได้มี พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษยกเลิก พ.ร.บ. ฝิ่น เป็นผลให้การซื้อฝิ่นไม่เป็นความผิดอีกต่อไปแม้จำเลยจะมิได้ฎีกาในข้อนี้ ศาลฎีกาย่อมแก้ไขให้ถูกต้องโดยพิพากษายกฟ้องข้อหาซื้อฝิ่นนั้นเสีย ส่วนความผิดฐานมีฝิ่นดิบไว้ในความครอบครองนั้น พ.ร.บ. ฝิ่นซึ่งใช้อยู่ในขณะที่จำเลยกระทำความผิดเป็นคุณแก่จำเลยเพราะกำหนดโทษเบากว่า พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 5 ปีศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษเป็นการฎีกาการใช้ดุลพินิจ ของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ร่วมกันจัดการติดต่อจัดหา และแนะนำให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวก ซื้อและมีฝิ่นดิบ 36 ห่อ หนัก 33 กิโลกรัมไว้ในความครอบครอง ต่อมาจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับพวกร่วมกันซื้อฝิ่นดิบจำนวนดังกล่าวจากผู้มีชื่อแล้วจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับพวกร่วมกันมีฝิ่นดิบไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติบัญญัติฝิ่น พุทธศักราช 2472 มาตรา 8,51 ทวิ, 53, 69 พระราชบัญญัติฝิ่น (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2502 มาตรา 4, 5ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 33, 91 ริบฝิ่นดิบและรถยนต์ของกลาง
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 แถลงสู้คดี ศาลชั้นต้นให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยทั้งสี่มาใหม่
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติฝิ่นพุทธศักราช 2472 มาตรา 8, 53, 69 พระราชบัญญัติฝิ่น (ฉบับที่ 3)พ.ศ. 2502 มาตรา 5 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกฐานซื้อฝิ่นจำคุก 10 ปี ฐานมีฝิ่นไว้ในครอบครองจำคุก 10 ปี รวมจำคุก 20 ปีจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่มากกรณีมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 10 ปีริบฝิ่นดิบและรถยนต์ของกลาง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบา
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกาขอให้ลงโทษเบากว่านี้และรอการลงโทษ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปรากฏว่าระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ได้มีพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2528 ยกเลิกพระราชบัญญัติฝิ่น พุทธศักราช 2472 และพระราชบัญญัติฝิ่น (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2502 เป็นผลให้การซื้อฝิ่นไม่เป็นความผิดอีกต่อไปที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานนี้จึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้ฎีกามาด้วย ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานมีฝิ่นดิบไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเพียงกระทงเดียว ซึ่งตามพระราชบัญญัติฝิ่นพุทธศักราช 2472 และพระราชบัญญัติฝิ่น (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2502ที่ใช้อยู่ในขณะจำเลยที่ 2 กระทำความผิดกำหนดโทษไว้เบากว่าพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528 เป็นคุณแก่จำเลยอยู่แล้ว และเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ เป็นฎีกาการใช้ดุลพินิจของศาลจึงต้องห้ามฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับข้อหาซื้อฝิ่นโดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”.

Share