แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ร่วมแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนเรื่องจำเลยออกเช็คโดยไม่มีเงิน โดยแจ้งว่าประสงค์จะขอแจ้งเป็นหลักฐานไม่ประสงค์จะมอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับจำเลย และโจทก์ร่วมขอรับเช็คคืนไปติดต่อทำความตกลงกับจำเลยอีกครั้ง ถ้าหากตกลงไม่ได้จะมามอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป เช่นนี้ เป็นคำร้องทุกข์ตามกฎหมายแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ความว่า จำเลยได้ออกเช็คลง วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๔ สั่งจ่ายเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์ร่วมเพื่อเป็นการชำระหนี้ โจทก์ร่วมได้นำเช็คนั้นไปเรียกเก็บเงิน ต่อมาวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๔ โจทก์ร่วมได้รับแจ้งว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คเพราะเงินในบัญชีของจำเลยมีไม่พอจ่าย และลายมือชื่อผู้จ่ายไม่สมบูรณ์ ทั้งนี้ โดยจำเลยออกเช็คให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่จำเลยมีอยู่ในบัญชี อันจะพึงให้ใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็ค และโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.๒๔๙๗ มาตรา ๓ ให้จำคุก ๔ เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ร่วมรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดเมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๔ ที่โจทก์ร่วมไปแจ้งความแก่พนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๑๔ นั้น ไม่ใช่เป็นการร้องทุกข์ตามกฎหมาย เมื่อโจทก์ร่วมไม่ร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ภายใน ๓ เดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด คดีจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๙๖ ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยจะเป็นความผิดตามฟ้องหรือไม่ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ข้อเท็จจริงได้ความว่าเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ร่วมไปแจ้งความแก่หนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๑๔ เจ้าหน้าที่บันทึกคำแจ้งความในรายงานเบ็ดเสร็จประจำวันของสถานีตำรวจมีข้อความว่า “วันที่ ๓ พ.ค. ๑๔ ๑๗.๒๐ นาฬิกา แจ้งออกเช็คไม่มีเงิน ยังไม่ประสงค์ดำเนินคดี นางทวีวรรณ (โจทก์ร่วม) ฯลฯ แจ้งว่า เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๑๓ นายบุญเลิศ (จำเลย) ฯลฯ ได้ยืมเงินสดไปจากผู้แจ้ง ได้มอบเช็ค ฯลฯ สั่งจ่ายเงินจำนวน ๔๐,๐๐๐ บาท ลงวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๔ มอบให้ผู้แจ้งไว้ ต่อมาวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๔ ผู้แจ้งได้นำเช็คเข้าบัญชีของผู้แจ้งที่ธนาคารกรุงเทพ สาขากล้วยน้ำไท เพื่อเรียกเก็บเงิน ต่อมาวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๔ ผู้แจ้งได้รับแจ้งจากธนาคารว่าได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน ทำให้ผู้แจ้งได้รับความเสียหาย ผู้แจ้งมีความประสงค์จะขอแจ้งเป็นหลักฐาน โดยไม่ประสงค์จะมอบคดีให้เจ้าพนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับนายบุญเลิศ (จำเลย) โดยผู้แจ้งขอรับเช็คคืนไปติดต่อทำความตกลงกับนายบุญเลิศ (จำเลย) อีกครั้ง ถ้าหากตกลงไม่ได้ จะมอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป ร้อยตำรวจโทประกอบ สินธุวิสุทธิ์ รองสารวัตรปราบปราม เวรสอบสวนได้รับแจ้งความแล้ว จึงได้มอบเช็คดังกล่าวคืนไป”
ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๒(๗) บัญญัติว่า “คำร้องทุกข์หมายความถึงการที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่า มีผู้กระทำความผิดขึ้น จะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายและการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ” การกล่าวหาที่ได้กล่าวโดยเจตนา จะให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษเป็นคำกว้าง ๆ การที่โจทก์ร่วมได้แจ้งว่าจำเลยออกเช็คไม่มีเงินนั้น เห็นได้ว่าโจทก์ร่วมมีเจตนาจะให้จำเลยได้รับโทษ จึงได้แจ้งความไว้ ทั้งในบันทึกก็ปรากฏความว่าโจทก์ร่วมมีความประสงค์ขอแจ้งเป็นหลักฐาน ส่วนที่โจทก์ร่วมขอรับเช็คคืนไปเพื่อติดต่อทำความตกลงกับจำเลยอีกครั้ง ถ้าหากตกลงไม่ได้จะมามอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไปนั้น มิได้ทำให้การแจ้งกล่าวหาของโจทก์ร่วมดังกล่าวนั้นสิ้นสภาพจากเป็นการร้องทุกข์ไม่ การที่มีข้อความในบันทึกว่าไม่ประสงค์จะมอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับจำเลยนั้น หมายความว่าในขณะแจ้งยังไม่ประสงค์ให้เจ้าพนักงานดำเนินคดีกับจำเลยโดยโจทก์ร่วมขอไปทำความตกลงกับจำเลยก่อนอีกครั้ง ถ้าตกลงได้ก็ไม่ต้องดำเนินคดี ถ้าตกลงไม่ได้ก็จะมอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินการต่อไปนั่นเอง
เหตุผลที่ปรากฏในการแจ้งความของโจทก์ร่วมต่อพนักงานสอบสวนไว้ เช่นนี้เป็นคำร้องทุกข์ตามกฎหมายแล้ว คดีไม่ขาดอายุความ
พิพากษายกคำพิพากษาอุทธรณ์ ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาในปัญหาข้อเท็จจริงแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ