คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1361/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลแขวงพิพากษายกฟ้องโดยฟังว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำผิด โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกาว่าจำเลยมีเจตนาทุจริต ดังนี้ เมื่ออุทธรณ์โจทก์เป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ มาตรา 22 แล้ว โจทก์จึงยกข้อเท็จจริงขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกาไม่ได้ โดยถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์โดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 249 ฎีกาโจทกืเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้าม ยกฎีกาโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยบุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ ขอให้ลงโทษประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๓๖๒,๓๕๘
วันนัดไต่สวนมูลฟ้อง ศาลสอบโจทก์ โจทก์แถลงว่าที่ธรณีสงฆ์วัดจันทรสโมสรที่โจทก์ถือเป็นมูลฟ้อง คดีนี้ยังพิพาทกันอยู่ที่ศาลแพ่งตามสำนวนคดีดำที่ ๒๖๓๙/๒๕๐๗
ศาลชั้นต้นสั่งงดไต่สวน แล้ววินิจฉัยว่ากรณีตามมูลฟ้องทั้งสองข้อหาเป็นการแย่งสิทธิครอบครองกันในทางแพ่ง ไม่มีเจตนาอันเป็นมูลในทางอาญาที่เป็นความผิดฐานบุกรุกและทำลายทรัพย์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่าจำเลมีเจตนาทุจริต
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ศาลแขวงพระนครเหนือพิพากษายกฟ้องโดยฟังว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำความผิดฐานบุกรุก และทำให้เสียทรัพย์แต่อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.๒๔๙๙ มาตรา ๒๒ เมื่อต้องห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงแล้ว โจทก์ก็ยกขึ้นว่ากล่าวในขั้นอุทธรณ์ไม่ได้ ฉะนั้น โจทก์จึงยกข้อเท็จจริงขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกาไม่ได้ โดยถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์โดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๕ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๔๙ ฎีกาของโจทก์คดีนี้เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้าม พิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์

Share