แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยฟ้องกล่าวหาโจทก์ว่าออกเช็คโดยเจตนามิให้มีการใช้เงินตามเช็คและเบิกความว่าโจทก์นำเช็คมาขายลดกับจำเลยโดยเป็นผู้ลงวันที่สั่งจ่ายต่อหน้าจำเลย แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องในคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าโจทก์ออกเช็คพิพาทให้จำเลยเพื่อประกันการกู้เงิน และมิได้ลงวันที่สั่งจ่าย ก็ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ เพราะข้อวินิจฉัยของศาลในคดีเดิมเป็นเพียงการแสดงความเห็นในการชี้ขาดตัดสินคดีอย่างหนึ่งเท่านั้น จะเป็นเท็จหรือไม่เป็นปัญหาที่ต้องมีการวินิจฉัยในเนื้อแท้ของความจริงให้เป็นที่ประจักษ์ในคดีนี้ต่อไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องสองสำนวนซึ่งศาลรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175, 177, 180, 91ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้องทั้งสองสำนวน จำเลยให้การปฏิเสธทั้งสองสำนวน ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175, 177, 91จำคุกกรรมละ 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยฟ้องโจทก์ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 828/2527 ของศาลชั้นต้น กล่าวหาว่าโจทก์ออกเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.1 ชำระหนี้จำเลย โดยเจตนามิให้มีการใช้เงินตามเช็ค และจำเลยได้เบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง และชั้นพิจารณาในคดีดังกล่าวว่า โจทก์นำเช็คพิพาทมาขายลดกับจำเลย และได้เป็นผู้ลงวันสั่งจ่ายเช็คพิพาทต่อหน้าจำเลยเมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่าโจทก์ออกเช็คพิพาทเพื่อประกันหนี้การกู้เงิน โดยโจทก์มิได้ลงวันสั่งจ่าย คดีมีปัญหาว่า ที่จำเลยฟ้องโจทก์และเบิกความไปดังกล่าว จำเลยจะมีความผิดฐานฟ้องเท็จและเบิกความเท็จตามฟ้องหรือไม่เห็นว่า มูลเหตุที่โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยฟ้องและเบิกความเท็จ ก็เนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องในคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ โดยวินิจฉัยว่าโจทก์ออกเช็คพิพาทให้จำเลยเพื่อประกันการกู้เงิน และโจทก์มิได้ลงวันสั่งจ่ายเช็คพิพาท ลำพังแต่ศาลวินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าว ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยฟ้องและเบิกความเท็จเพราะที่ศาลวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ลงวันสั่งจ่ายเช็คพิพาทนั้นศาลอาศัยพิจารณาลายมือที่เขียนวันสั่งจ่ายในเช็คพิพาทเปรียบเทียบกับลายมือของโจทก์ที่เขียนในสัญญากู้แล้ววินิจฉัยว่ามีลักษณะแตกต่างกันเท่านั้น ข้อวินิจฉัยของศาลดังกล่าวจึงเป็นเพียงการแสดงความเห็นในการชี้ขาดตัดสินคดีอย่างหนึ่ง จะรับฟังเป็นยุติว่าเป็นความจริงโดยเด็ดขาดยังไม่ได้ แม้ในคดีดังกล่าวศาลจะพิพากษายกฟ้องโดยไม่เชื่อคำฟ้องและคำเบิกความของจำเลยว่าเป็นความจริง แต่จะเป็นเท็จหรือไม่เป็นปัญหาที่ต้องมีการวินิจฉัยในเนื้อแท้ของความจริงให้เป็นที่ประจักษ์ด้วย ได้ความว่าเช็คพิพาทมีรายการลงวันสั่งจ่ายครบถ้วน แต่โจทก์เถียงว่าลายมือที่เขียนวันสั่งจ่ายไม่ใช่ลายมือโจทก์ ส่วนจำเลยก็เถียงว่าเป็นลายมือโจทก์เพราะโจทก์เขียนต่อหน้าจำเลยเมื่อโจทก์จำเลยโต้เถียงกันดังนี้ โจทก์ย่อมอยู่ในฐานะทราบได้ดีกว่าใครว่าลายมือที่เขียนวันสั่งจ่ายเป็นลายมือของโจทก์หรือไม่หากโจทก์แน่ใจว่าโจทก์ไม่ได้ลงวันสั่งจ่ายเช็คพิพาทดังที่อ้างโจทก์ก็น่าจะขอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ แต่โจทก์ก็หาได้กระทำไม่คงเบิกความลอย ๆ ว่า ไม่ได้ลงวันสั่งจ่ายและลายมือที่เขียนวันสั่งจ่ายในเช็คพิพาทไม่ใช่ลายมือของโจทก์เท่านั้น แม้โจทก์จะมีนายนิรันดร์ ชลนภาสถิตย์ มาเบิกความสนับสนุนก็ไม่มีน้ำหนักให้เชื่อได้ว่าลายมือที่เขียนวันสั่งจ่ายเช็คพิพาทไม่ใช่ลายมือชื่อโจทก์ ดังนั้นที่จำเลยเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและชั้นพิจารณาคดีในคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ว่า โจทก์ลงวันสั่งจ่ายเช็คพิพาทต่อหน้าจำเลย จึงยังฟังไม่ได้ว่าเป็นเท็จ ส่วนที่จำเลยเบิกความว่านำเช็คพิพาทมาขายลดกับจำเลยเป็นความเท็จหรือไม่นั้นโจทก์เบิกความว่า ออกเช็คพิพาทให้จำเลยเพื่อประกันการกู้เงินแต่สัญญากู้เงินที่โจทก์เบิกความอ้างถึงก็เป็นสัญญากู้เงินจำนวน 20,000 บาท ไม่ใช่ 24,000 บาท ตามที่ระบุไว้ในเช็คพิพาทโดยโจทก์มิได้ให้เหตุผลว่าเหตุใดจำนวนเงินถึงไม่เท่ากัน ดังนั้นที่จำเลยเบิกความว่า โจทก์นำเช็คพิพาทมาขายลดกับจำเลยจึงยังฟังไม่ได้ว่าเป็นเท็จและการที่จำเลยฟ้องกล่าวหาว่า โจทก์ออกเช็คพิพาทชำระหนี้จำเลยโดยเจตนาที่จะมิให้มีการใช้เงินตามเช็คจึงยังฟังไม่ได้ว่าเป็นฟ้องเท็จเช่นกันพยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่เพียงพอที่จะให้รับฟังได้ว่า จำเลยฟ้องและเบิกความอันเป็นเท็จตามที่โจทก์ฟ้อง ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน