แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ถนนที่เกิดเหตุเป็นถนนสายหลักและเป็นที่เปิดเผย แต่ตามบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุปรากฏว่า บริเวณที่เกิดเหตุเป็นถนนพหลโยธินขาขึ้น มีการสร้างสะพานคอนกรีตข้ามคลองอนุศาสนนันทน์และยังไม่แล้วเสร็จ รถยนต์ยังแล่นสัญจรผ่านสะพานไม่ได้ ส่วนถนนพหลโยธินขาล่องสร้างสะพานเสร็จเรียบร้อยและมีการเปิดการจราจรสวนกันที่บริเวณสะพานข้ามคลองดังกล่าว ทั้งบริเวณเกาะกลางถนนที่จำเลยทั้งสองนำผู้เสียหายที่ 4 มากระทำอนาจาร มีการปลูกหญ้าเต็มเกาะกลางถนน แสดงว่าขณะเกิดเหตุบริเวณถนนที่เกิดเหตุยังไม่เปิดให้บุคคลใดขับรถผ่าน ดังนั้นเมื่อไม่ปรากฏว่ามีผู้ขับรถสัญจรไปมาบนถนนที่เกิดเหตุที่จะให้การกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายที่ 4 ของจำเลยทั้งสองได้เกิดต่อหน้าบุคคลผู้สัญจรไปมาทั่วไป การกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายที่ 4 จึงไม่ได้เกิดต่อหน้าต่อตาผู้คนจำนวนมากหรือที่มีผู้ชุมนุม ถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำต่อหน้าธารกำนัล
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 80, 83, 91, 278, 281, 288, 295, 371, 376, 392 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบอาวุธปืนของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพข้อหาร่วมกันมีและพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ทำร้ายร่างกาย ยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ และทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญ ส่วนข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278, 281, 295, 371, 376, 392, 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกคนละ 1 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 6 เดือน ฐานร่วมกันทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญ จำคุกคนละ 1 เดือน ฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ จำคุกคนละ 4 เดือน ฐานร่วมกันยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ จำคุกคนละ 10 วัน รวมจำคุกคนละ 1 ปี 11 เดือน 10 วัน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 11 เดือน 20 วัน และให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันกระทำอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้ายอีกฐานหนึ่ง จำคุกคนละ 6 เดือน รวมจำคุกคนละ 17 เดือน 20 วัน ริบอาวุธปืนของกลาง ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกาย จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 จำคุกคนละ 1 เดือน เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืน ฐานร่วมกันพาอาวุธปืน ฐานร่วมกันยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ และฐานร่วมกันทำให้ผู้อื่นเกิดความกลังหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญ เป็นจำคุกคนละ 1 ปี 8 เดือน 10 วัน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกคนละ 10 เดือน 5 วัน ให้จำหน่ายคดีสำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืน พาอาวุธปืน พยายามฆ่าผู้อื่น ทำร้ายร่างกายผู้อื่น ยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ และทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญ ในชั้นนี้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาจึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ส่วนความผิดฐานร่วมกันกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายที่ 4 ซึ่งอายุกว่าสิบห้าปี โดยใช้กำลังประทุษร้ายต่อหน้าธารกำนัล โดยศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังว่า ผู้เสียหายที่ 4 ไม่ติดใจเอาความแก่จำเลยทั้งสองและขอถอนคำร้องทุกข์แล้ว ตามบันทึกคำให้การเพิ่มเติมปรากฏว่าศาลชั้นต้นฟังว่า ความผิดฐานร่วมกันกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายที่ 4 ของจำเลยทั้งสองได้กระทำต่อหน้าธารกำนัล ซึ่งมิใช่เป็นความผิดอันยอมความได้ แม้ผู้เสียหายที่ 4 ไม่ติดใจเอาความและถอนคำร้องทุกข์จำเลยทั้งสอง สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ไม่ระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังว่า ความผิดฐานกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายที่ 4 มิใช่กระทำต่อหน้าธารกำนัล จึงเป็นความผิดอันยอมความได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 281 เมื่อผู้เสียหายที่ 4 ไม่ติดใจดำเนินคดีและถอนคำร้องทุกข์จำเลยทั้งสองแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ในความผิดฐานนี้สำหรับจำเลยที่ 1 ย่อมเป็นอันระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) และเป็นเหตุในลักษณะคดีย่อมมีผลถึงจำเลยที่ 2 ที่มิได้อุทธรณ์ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 โจทก์ฎีกาว่า แม้เหตุเกิดเวลากลางคืนและโจทก์ไม่มีพยานที่รู้เห็นมานำสืบในชั้นศาลก็ตาม แต่จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายที่ 4 หลายครั้งโดยเปิดเผยบริเวณข้ามถนนและเกาะกลางถนนพหลโยธินซึ่งเป็นถนนสายหลัก บุคคลที่ขับรถผ่านไปมาสามารถมองเห็นได้ ถือได้ว่าการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองดังกล่าวเกิดต่อหน้าธารกำนัลแล้ว จึงมิใช่ความผิดอันยอมความได้ เห็นว่า แม้ถนนพหลโยธินเป็นถนนสายหลักและเป็นที่เปิดเผย แต่ตามบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุซึ่งโจทก์อ้างส่งศาลกลับปรากฏว่า ขณะเกิดเหตุบริเวณที่เกิดเหตุเป็นถนนพหลโยธินขาขึ้น มีการสร้างสะพานคอนกรีตข้ามคลองอนุศาสนนันทน์และยังไม่แล้วเสร็จ รถยนต์ยังแล่นสัญจรผ่านสะพานไม่ได้ ส่วนถนนพหลโยธินขาล่องสร้างสะพานเสร็จเรียบร้อยและมีการเปิดการจราจรสวนกับที่บริเวณสะพานข้ามคลองดังกล่าวทั้งบริเวณเกาะกลางถนนที่จำเลยทั้งสองนำผู้เสียหายที่ 4 มากระทำอนาจาร มีการปลูกหญ้าเต็มเกาะกลางถนน แสดงว่าขณะเกิดเหตุบริเวณถนนที่เกิดเหตุซึ่งเป็นถนนพหลโยธินขาขึ้นยังไม่เปิดให้บุคคลใดขับรถผ่าน ดังนั้นเมื่อไม่ปรากฏว่ามีผู้ขับรถสัญจรไปมาบนถนนที่เกิดเหตุที่จะให้การกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายที่ 4 ของจำเลยทั้งสองได้เกิดต่อหน้าบุคคลผู้สัญจรไปมาทั่วไป ทั้งไม่ปรากฏว่ามีบุคคลอื่นใดนอกจากจำเลยทั้งสองและผู้เสียหายที่ 4 อยู่ในที่เกิดเหตุดังที่ผู้เสียหายที่ 4 เบิกความยืนยัน การกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายที่ 4 ของจำเลยทั้งสองจึงมิได้เกิดต่อหน้าต่อตาผู้คนจำนวนมากหรือที่มีผู้ชุมนุม ถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำต่อหน้าธารกำนัล เมื่อมิได้เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 4 รับอันตรายสาหัสหรือถึงแก่ความตาย จึงเป็นความผิดอันยอมความได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 281 เมื่อผู้เสียหายที่ 4 ถอนคำร้องทุกข์ในความผิดดังกล่าวแล้ว สิทธินำคดีมาฟ้องจำเลยทั้งสองในความผิดดังกล่าวของโจทก์ย่อมเป็นอันระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่จำหน่ายคดีจำเลยทั้งสองสำหรับความผิดดังกล่าวจึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน