คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1355/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยยื่นคำร้องทุกข์ไปยังผู้บังคับบัญชากลางโจทก์ กล่าวหาว่าโจทก์กลั่นแกล้งให้จำเลยได้รับความเดือดร้อน โดยบรรยายรายละเอียดด้วยว่า โจทก์กระทำอย่างใดต่อจำเลยบ้าง แล้วขอให้สั่งสอบสวนพฤติการณ์ที่โจทก์กระทำต่อจำเลยนั้น ดังนี้ เมื่อได้ความว่าพฤติการณ์ตามที่จำเลยร้องเรียนไปนั้นเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นแก่จำเลยจริง จำเลยกล่าวไปโดยไม่มีข้อความที่ผิดกฎหมายหรือฝ่าฝืนความจริง แม้ผลของการสอบสวนโจทก์จะปรากฎว่าโจทก์ได้กระทำการไปตามหน้าที่ราชการแล้ว โจทก์ก็จะอ้างว่าคำร้องของจำเลยที่ว่าโจทก์กลั่นแกล้งนั้นเป็นการฝ่าฝืนต่อความจริงหาได้ไม่การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องกล่าวว่าจำเลยจงใจกระทำให้โจทก์เสียหายแก่ชื่อเสียงและเกียรติยศ ขอให้บังคับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายและให้โฆษณาคำขอขมา จำเลยให้การปฏิเสธความรับผิด
ข้อเท็จจริงได้กล่าวความว่า จำเลยเป็นคนเชื้อชาติจีนสัญชาติจีน เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๒ จำเลยได้เอาตึกแลกเปลี่ยนกับที่ดินของนายยิ้ม โดยขออนุญาตต่อทางราชการ นายอำเภออนุญาตและนำนิติกรรมสัญญาแลกเปลี่ยนและจดทะเบียน ณ อำเภอ ต่อมาจำเลยได้แจ้งการครอบครองที่ดินนี้ และทางอำเภอรับแจ้งไว้แล้ว จำเลยได้รับใบสำคัญแสดงการขึ้นทะเบียนที่ดินจากนายอำเภอใน พ.ศ.๒๔๙๘ และในปีนั้นเอง จำเลยได้นำช่างแผนที่ทำการรังวัดที่ดินแปลงนี้ เพื่อขอรับโฉนด ต่อมา พ.ศ.๒๕๐๓ จำเลยไปขอรับโฉนดที่ดินจากโจทก์ผู้เป็นเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด โจทก์ตรวจหลักฐานแล้วเห็นว่าจำเลยเป็นคนต่างด้าว จึงไม่ออกโฉนดให้ ต่อมาจำเลยก็ถูกจับหาว่าเป็นคนต่างด้าวมีที่ดินโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยจึงยื่นคำร้องทุกข์เพื่อขอความเป็นธรรมไปยังอธิบดีกรมที่ดิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายกรัฐมนตรี โจทก์ถูกสอบสวน แต่ได้ความว่า โจทก์กระทำการไปตามหน้าที่ ไม่ได้กลั่นแกล้งจำเลย โจกท์จึงฟ้องคดีนี้หาว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์
ศาลชั้นต้นฟังด้วยว่า การที่จำเลยร้องเรียนไปนั้น ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง และเกียรติคุณ จึงพิพากษาให้จำเลยประกาศขอขมาและใช้ค่าเสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ปัญหานี้ ควรปรับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๔๒๓ และวินิจฉัยว่าการที่จำเลยร้องเรียนไปนั้นไม่เป็นข้อความที่ฝ่าฝืนความจริง ไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าโจทก์เสียหายหรือไม่ พิพากษาให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำร้องทุกข์ของจำเลยมีใจความสำคัญว่า โจทก์กลั่นแกล้งให้จำเลยได้รับความเดือดร้อน โดยโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยครอบครองที่ดินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และแจ้งความให้จับกุมจำเลยเพื่อดำเนินคดีทางอาญา และว่าจะมีราษฎรผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์จะต้องพลอยประสบชะตากรรมเยี่ยงจำเลยอีกเป็นแน่ ขอให้สั่งสอบสวนพฤติการณ์ที่โจทก์กระทำ กับจำเลยดังกราบเรียนมาข้างต้นด้วย ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ได้ความตามทางพิจารณานั้น เป็นเหตุให้จำเลยเชื่อโดยสุจริตใจว่าจำเลยได้เป็นเจ้าของที่ดินอย่างแท้จริงและมีสิทธิที่จะได้รับโฉนดจากโจทก์ เมื่อโจทก์ไม่อยมออกโฉนดให้ จำเลยจึงร้องทุกข์ขอความเป็นธรรม และการที่ร้องเรียนนั้นเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับจำเลย จริง ๆ จำเลยไม่ได้บิดเบือนเอาความไม่จริงมากล่าวหรือแก้ใส่ร้ายโจทก์ จำเลยกล่าวไปโดยไม่มีข้อความที่ผิดกฎหมายหรือฝ่าฝืนความจริง อันจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของโจทก์แต่อย่างใด จำเลยจึงไม่ได้ละเมิดและไม่ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน ที่โจทก์ฎีกาว่าเมื่อโจทก์ถูกสอบสวนแล้วผลปรากฎว่าโจทก์ได้กระทำไปตามหน้าที่ราชการแล้ว คำร้องของจำเลยที่ว่าโจทก์กลั่นแกล้งจึงเป็นการฝ่าฝืนต่อความจริง จำเลยจึงเป็นผู้ละเมิดนั้น ฟังไม่ได้ พิพากษายืน

Share