แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ที่พิพาทเดิมเป็นของ ม. ให้จำเลยเช่า ต่อมา ม. ขายให้บ. และ บ. ขายให้โจทก์ โดยโจทก์ทราบว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทอยู่ ในฐานะเป็นผู้เช่าจาก บ. เมื่อโจทก์ซื้อที่พิพาทแล้วได้ให้ ส. กับพวกเข้าไปปรับหน้าดิน และตัดฟันต้นส้มเขียวหวานเพื่อนำกล้ากล้วยไม้ไปปลูก จำเลยจึงแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่า โจทก์บุกรุกเข้าไปในที่ดินที่จำเลยเช่า และทำให้เสียทรัพย์ ดังนี้การกระทำของโจทก์กับพวกย่อมมีเหตุที่จะทำให้จำเลยเข้าใจว่าโจทก์กระทำผิดอาญาฐานบุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ ทั้งข้อเท็จจริงที่จำเลยแจ้งความก็ตรงตามเรื่องราวที่เกิดขึ้น จึงถือไม่ได้ว่า จำเลยแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,172, 173, 174, 309, 310
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลเฉพาะข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 173, 174 ให้ประทับฟ้องส่วนข้อหาความผิดตามมาตรา 309, 310 ไม่มีมูลให้ยกฟ้อง
จำเลยไม่ได้ให้การ ถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 172 จำคุก 6 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทเดิมเป็นของนางมณี ทับไกร ให้จำเลยเช่า ต่อมานางมณีขายให้นางสาวบุญพา สถิตย์กุลรัตน์ นางสาวบุญพาขายให้โจทก์โดยจดทะเบียนการโอนถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2531โจทก์ให้นายสมศักดิ์ รักใคร่ กับพวก ปรับหน้าดินที่พิพาท โดยตัดฟันต้นส้มเขียวหวานเพื่อนำกล้ากล้วยไม้ไปปลูก จำเลยไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์บุกรุกเข้าไปในที่ดินที่จำเลยเช่า และทำให้เสียทรัพย์ โดยตัดฟันต้นส้มเขียวหวานของจำเลยที่ปลูกในที่ดินดังกล่าว…
ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ข้อสุดท้ายคือ จำเลยกระทำความผิดฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 หรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ และร้อยตำรวจเอกนิกร เข็มทอง พยานโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่า ก่อนที่โจทก์จะซื้อที่พิพาทโจทก์ได้เข้าไปตรวจดูที่พิพาทประมาณ 4-5 ครั้ง ในที่พิพาทมีสวนส้มและบ้านจำนวน3 หลัง โดยนางมณีรับกับนางสาวบุญพาว่าจะจัดการให้ผู้อาศัยออกไปจากที่พิพาท ส่วนร้อยตำรวจเอกนิกรว่าเห็นจำเลยอาศัยอยู่ในที่พิพาท ได้สอบสวนกำนันและผู้ใหญ่บ้านเจ้าของท้องที่แล้วได้รับแจ้งว่าจำเลยเช่าที่พิพาททำสวนมาหลายปีแล้ว นางมณีให้การว่าได้เคยให้จำเลยเช่าที่พิพาทตั้งแต่ พ.ศ. 2524 จำเลยมีบ้านพักในที่พิพาทตามสำเนาทะเบียนบ้าน ดังนี้ พยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวจึงเจือสมกับพยานหลักฐานของจำเลย ฟังได้ว่าขณะที่โจทก์ให้นายสมศักดิ์กับพวกเข้าไปปรับหน้าดินที่พิพาทและตัดฟันต้นไม้นั้น จำเลยเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทอยู่ในฐานะที่เคยเป็นผู้เช่าจากนางมณีและโจทก์ทราบดีอยู่แล้ว เช่นนี้ศาลฎีกาเห็นว่าพฤติการณ์การกระทำของโจทก์กับพวกย่อมมีเหตุที่จะทำให้จำเลยเข้าใจว่าโจทก์กระทำความผิดอาญาฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ ทั้งข้อเท็จจริงที่จำเลยแจ้งความก็ตรงตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นเพียงแต่รายละเอียดปลีกย่อยอาจคลาดเคลื่อนไปบ้างเท่านั้น กรณีจึงยังถือไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล”
พิพากษายืน