แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ก่อนที่จำเลยจะซื้อที่ดินจากผู้จัดการมรดกของ น. ปรากฏว่ามีสะพานไม้จากที่ดินนั้นข้ามคูของโจทก์ออกสู่ซอยสาธารณะอยู่แล้ว เมื่อจำเลยซื้อมาแล้วก็ได้ใช้สะพานนี้เข้าออกตลอดมา ภายหลังจึงรื้อสะพานนั้นออกแล้วสร้างเป็นสะพานคอนกรีตลงในที่เดิมรวมเป็นเวลาเกินสิบปีแล้ว ที่ดินของโจทก์จึงตกอยู่ในภารจำยอม
จำเลยถมคูทำรั้วรุกล้ำที่ดินของโจทก์เพียงบางส่วน และได้ครอบครองที่ดินนั้นมาโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินสิบปี จึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์
โจทก์ทราบความจริงถึงการครอบครองปรปักษ์ของจำเลยแล้ว ยังซื้อที่แปลงนั้นมาอีก การจดทะเบียนสิทธิของโจทก์จึงไม่สุจริต แม้จำเลยจะยังมิได้จดทะเบียนสิทธิในที่พิพาทจำเลยก็ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ยันโจทก์ได้ โจทก์ไม่ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 8904 ตำบลพระโขนงอำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร โดยซื้อมาจากนางสาวล้วน วงศ์เมตตาเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2512 จำเลยถือกรรมสิทธิ์ที่ดินติดต่อกับที่ของโจทก์ทางด้านทิศตะวันออก โจทก์นำเจ้าพนักงานรังวัดไปรังวัดสอบเขตที่ดินโจทก์จำเลยคัดค้านแนวเขตที่ดินด้านติดต่อกับโจทก์ทั้งหมด ปรากฏว่าจำเลยบุกรุกเข้ามาในที่ดินของโจทก์ตลอดแนว และทำสะพานรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์เพื่อเข้าออกไปยังถนนซอยซึ่งเชื่อมกับถนนสุขุมวิท ขอให้บังคับจำเลยรื้อสะพานและรั้วออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 7970 โดยซื้อมาจากผู้จัดการมรดกของนายโนรี โรจนเสนา เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2498 และได้ครอบครองตลอดมา เมื่อแรกที่ซื้อที่ดินมานั้นมีสะพานสำหรับคนและรถข้ามคูไปสู่ถนนบุญชนะ ซึ่งเป็นทางออกทางเดียวไม่มีทางอื่น ต่อมาจำเลยรื้อสะพานไม้ออกแล้วทำเป็นสะพานคอนกรีต จำเลยซื้อที่ดินได้ 1 ปีเศษ จึงกั้นเขื่อนริมคูและทำรั้วติดกับเขื่อน และต่อมาจำเลยรื้อรั้วไม้ออกแล้วสร้างกำแพงคอนกรีตแทน จำเลยครอบครองที่ดินของจำเลยโดยเจตนาเป็นเจ้าของมา 16 ปีเศษแล้วไม่ได้รุกล้ำที่ของใคร หากจะเป็นการรุกล้ำที่ของโจทก์จำเลยก็ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว โจทก์รับโอนที่ดินมาโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทภายในเส้นสีเขียวเป็นที่ดินอยู่ในโฉนดเลขที่ 8904 ซึ่งโจทก์เป็นผู้ซื้อและรับโอนมาจากนางสาวล้วน วงศ์เมตตาเมื่อประมาณ พ.ศ. 2512 สะพานไม้หรือสะพานคอนกรีตที่จำเลยสร้างใหม่อยู่ในเขตโฉนดที่ 8904 นั้นด้วย คดีมีประเด็นว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินภายในเส้นสีเขียวในโฉนดเลขที่ 8904 จนได้กรรมสิทธิ์โดยทางครอบครองปรปักษ์หรือไม่ และที่เดินส่วนที่สะพานไม้หรือสะพานคอนกรีตทอดข้ามคูอันเป็นที่ดินโฉนดที่ 8904 ของโจทก์ตกอยู่ในภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดที่ 7970ของจำเลยหรือไม่ และจำเลยจะยกสิทธิครอบครองปรปักษ์ขึ้นยันแก่โจทก์ได้เพียงใดหรือไม่ แล้ววินิจฉัยว่าจำเลยซื้อที่ดินจากผู้จัดการมรดกของนายโนรีเมื่อ พ.ศ. 2498 ได้ใช้สะพานนี้เข้าออกตลอดมา ภายหลังจึงรื้อสะพานไม้นั้นออกแล้วสร้างสะพานคอนกรีตลงในที่เดิม รวมเวลาเกิน 10 ปีแล้ว ที่ดินของโจทก์จึงตกอยู่ในภารจำยอม โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะบังคับให้เลิกใช้ภารจำยอมนั้นได้
ส่วนที่พิพาทภายในเส้นสีเขียวนั้นฟังได้ว่าจำเลยได้ครอบครองมาโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกิน 10 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว และได้ความว่าโจทก์ได้ทราบความจริงถึงการครอบครองปรปักษ์ของจำเลยแล้ว โจทก์ยังซื้อที่ดินโฉนดที่ 8904 มาอีก การจดทะเบียนสิทธิของโจทก์จึงไม่สุจริต แม้สิทธิในที่พิพาทของจำเลยยังมิได้จดทะเบียน จำเลยก็ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ยันโจทก์ได้ โจทก์ไม่ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง
พิพากษายืน