แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีแพ่งมีประเด็นว่า จำเลยทั้งสองทำละเมิดต่อโจทก์โดยจ่ายเงินค่าหุ้นให้ ซ. ทั้งที่รู้ว่า ซ. ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์และร่วมกันทำหลักฐานการรับเงินเท็จทำให้โจกท์เสียหายหรือไม่ ซึ่งกรณีนี้หลังจากที่โจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งแล้ว โจทก์ยังได้ฟ้อง ช.กับ จำเลยทั้งสองเป็นคดีอาญาข้อหาว่าปลอมเอกสาร ใช้เอกสารปลอม แจ้งความเท็จ และแสดงหลักฐานเท็จในการพิจารณาคดี ศาลอาญาฟังข้อเท็จจริงว่า ซ.ได้รับชำระค่าหุ้นจาก ช.แล้ว บันทึกการรับเงินทำขึ้นตามความเป็นจริง มีการชำระเงินตามวันเวลาที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นจริง พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว การพิจารณาคดีส่วนแพ่งจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 คือต้องฟังว่าจำเลยมิได้กระทำการดังที่โจทก์ฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ เป็นกรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ เดิมนายเซียะหยู แซ่ลิ้มได้ซื้อหุ้นธนาคารนครหลวงไทย จำกัด จากโจทก์เป็นเงิน ๑๙,๘๒๗,๑๐๐ บาท นายเซียะหยูจ่ายเงินเป็นเช็ค แต่รับเงินไม่ได้ โจทก์จึงฟ้องนายเซียะหยู ศาลพิพากษายกฟ้อง โจทก์จึงฟ้องนายเซียะหยูขอให้เป็นบุคคลล้มละลาย ศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์นายเซียะหยูชั่วคราวเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๑๕ นายเซียะหยูได้ขายหุ้นดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ได้ชำระค่าหุ้นให้นายเซียะหยูเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๙ เป็นเงิน ๘,๓๔๔,๒๔๐ บาท จำเลยทั้งสองได้ทราบดีว่านายเซียะหยูถูกพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว ครั้นเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๑๕ จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันชำระค่าหุ้นให้นายเซียะหยูอีกเป็นเงิน ๘,๔๘๒,๘๖๐ บาท แล้วร่วมกันทำบันทึกการรับเงินค่าหุ้นลงวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๕ ให้นายเซียะหยูลงชื่อระบุว่านายเซียะหยูได้รับเงินชำระค่าหุ้นเป็นเงิน ๑๖,๘๒๗,๑๐๐ บาท และร่วมกันทำใบรับเงินชั่วคราวลงวันที่ต่าง ๆ กันรวม ๔ ฉบับ หลักฐานการยืมเงินชั่วคราวลงวันที่ต่าง ๆ กันอีกรวม ๔ ฉบับ ระบุว่านายเซียะหยูได้รับเงินจากจำเลยที่ ๑ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งนายเซียะหยูไม่เคยได้รับเงินจำนวนนี้เลย การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการจงใจกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมาย และเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เกิดความเสียหายแก่โจทก์และฝ่าฝืนพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ ทำให้โจทก์ไม่ได้รับชำระหนี้จากเงินค่าหุ้นพร้อมทั้งดอกเบี้ยที่จำเลยที่ ๑ ยังค้างนายเซียะหยู ต่อมาจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันนำเอกสารเท็จต่าง ๆ ดังกล่าวแล้วไปอ้างอิงเป็นหลักฐานในคดีล้มละลายว่าจำเลยที่ ๑ ได้ชำระค่าหุ้นให้แก่นายเซียะหยูครบถ้วนแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้จำหน่ายชื่อจำเลยที่ ๑ จากบัญชีลูกหนี้ของนายเซียะหยู ต่อมามีบุคคลอื่นเข้าชำระหนี้ค่าหุ้นและดอกเบี้ยแทนนายเซียะหยูเป็นเงิน ๑๑,๒๘๒,๘๖๐ บาท โจทก์จึงถอนฟ้องคดีล้มละลาย นายเซียะหยูยังคงค้างค่าหุ้นและดอกเบี้ยโจทก์อีก ๑๔,๗๗๔,๖๗๓ บาท ๘๕ สตางค์ เงินที่จำเลยที่ ๑ ได้ชำระค่าหุ้นสองครั้งรวม ๑๖,๘๒๗,๑๐๐ บาทนั้น เมื่อหักดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีเพราะผิดนัดออกแล้ว คงเป็นเงินค่าหุ้น ๑๐,๓๑๘,๖๖๙ บาท ๖๐ สตางค์ จำเลยที่ ๑ คงค้างค่าหุ้นนายเซียะหยูอยู่ ๙,๕๐๘,๔๓๐ บาท ๔๐ สตางค์ จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดชำระให้โจทก์จากผลแห่งการละเมิดของจำเลย ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๑๑,๗๙๒,๔๓๔ บาท ๕๘ สตางค์ กับดอกเบี้ยในต้นเงิน ๙,๕๐๘,๔๓๐ บาท ๔๐ สตางค์ ตั้งแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า คดีที่โจทก์ฟ้องนายเซียะหยูเรียกเงินค่าหุ้นนั้นศาลพิพากษายกฟ้อง และคดีถึงที่สุด สิทธิของโจทก์จึงระงับสิ้นไป โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๑ ให้ชำระหนี้ของนายเซียะหยูอีก จำเลยที่ ๑ ชำระค่าหุ้นนายเซียะหยูครบถ้วนแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จำหน่ายชื่อจำเลยที่ ๑ จากบัญชีลูกหนี้นายเซียะหยู โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยให้ชำระค่าหุ้น โจทก์ถอนฟ้องคดีล้มละลายแล้วมาฟ้องคดีนี้เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จำเลยไม่ได้ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติล้มละลายได้ชำระหนี้แก่นายเซียะหยูก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว แม้จะชำระภายหลังจากนายเซียะหยูถูกพิทักษ์ทรัพย์ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิจะกล่าวอ้างหรือเรียกร้องเอาแก่จำเลยที่ ๑ ได้ ตามฟ้องไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กระทำการใดต่อโจทก์โดยผิดกฎหมาย จำเลยที่ ๒ กระทำในฐานะกรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จะได้วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดเป็นประเด็นไว้ในข้อ ๑ เสียก่อนว่า จำเลยทั้งสองได้กระทำการดังที่โจทก์กล่าวในฟ้องหรือไม่ ปัญหาข้อเท็จจริงนี้แม้ศาลชั้นต้นจะวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันชำระราคาหุ้นให้นายเซียะหยูภายหลังที่นายเซียะหยูถูกพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวแล้ว และจำเลยทั้งสองร่วมกันทำเอกสารหมาย ล.๒ ถึง ล.๑๐ เท็จ แต่ข้อเท็จจริงยังไม่ยุติลงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เพราะจำเลยยังติดใจโต้แย้งคัดค้านตลอดมาตามที่จำเลยได้ยกขึ้นกล่าวไว้ในคำแก้อุทธรณ์ฎีกาแล้ว กรณีที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองได้ทำละเมิดต่อโจทก์นี้ หลังจากที่โจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งนี้แล้ว โจทก์ยังได้ฟ้องนายชวน รัตนรักษ์ กับจำเลยทั้งสองเป็นคดีอาญาข้อหาว่าปลอมเอกสาร ใช้เอกสารปลอม แจ้งความเท็จ และแสดงหลักฐานเท็จในการพิจารณาคดีอีกด้วย ศาลอาญาฟังข้อเท็จจริงว่า ใน พ.ศ.๒๕๑๔ นายเซียะหยูได้รับชำระค่าหุ้นจากนายชวน รัตนรักษ์ แล้ว ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท ต่อมาวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๕ ได้รับชำระหนี้จากจำเลยที่ ๑ อีก ๑๖,๘๒๗,๑๐๐ บาท ตามเช็คของธนาคารสหมาลายัน จำกัด และเช็คของธนาคารนครหลวงไทย จำกัด โดยเฉพาะเช็คของธนาคารนครหลวงไทย จำกัด ๔ ฉบับ ลงวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๑๕ นั้นเป็นเช็คลงวันที่ล่วงหน้า บันทึกการรับเงินเอกสารหมาย ล.๒ ทำขึ้นตามความเป็นจริง มีการชำระเงินตามวันเวลาที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นจริง นายเซียะหยูมิได้ป่วยหนักจนไม่สามารถลงชื่อในเอกสารได้ จึงพิพากษายกฟ้อง ปรากฏตามคดีหมายเลขแดงที่ ๑๔๒๑๐/๒๕๑๘ คดีถึงที่สุดแล้ว เมื่อเป็นดังนี้การพิพากษาคดีส่วนแพ่งคดีนี้จึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๖ คือต้องฟังว่าจำเลยมิได้กระทำการดังที่โจทก์ฟ้องคดีไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นข้ออื่นอีกต่อไป
พิพากษายืนในผลที่ให้ยกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๑๐,๐๐๐ บาท แทนจำเลย