คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1349/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยเห็น ม. กับ ส. เข็นรถบรรทุกกล่องสีน้ำตาลผ่านหลังบ้านจำเลยในวันเวลาตาม ที่ได้ เบิกความไว้จริง แต่ เมื่อจำเลยมาเบิกความต่อ ศาลกลับเบิกความว่าเห็น ม. กับชาย อีกคนหนึ่งชื่อ จ. จำหน้าไม่ได้จึงเป็นการนำความอันเป็นเท็จมาเบิกความต่อ ศาลและเป็นข้อความสำคัญในคดี เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 177.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 จำคุก 1 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายถึงการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดพอสมควรที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2529 เวลากลางวัน จำเลยได้เบิกความเป็นพยานโจทก์ในการพิจารณาคดีอาญาของศาลชั้นต้นระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดปทุมธานี โจทก์นายบรรพต ถนอมสุขกับพวกรวม 3 คน จำเลย เรื่องลักทรัพย์หรือรับของโจรว่า เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2529 เวลาประมาณ 22 นาฬิกา จำเลยได้ยินสุนัขเห่าที่ข้างบ้านจึงลงไปดูพบนายมานพซึ่งเป็นเพื่อนบ้านกับชายอีกคนหนึ่งชื่อจ่อยจำหน้าไม่ได้ช่วยกันเข็นรถบรรทุกของซึ่งเป็นกล่องสีน้ำตาลประมาณ 30 กล่อง จากหลังบ้านจำเลยออกถนนซอยตามฟ้องจริง มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนายนี่วัทธ จินดาบัญญัติ พยานเบิกความว่าเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2529 เวลาประมาณ 16 นาฬิกา พยานพบกับจำเลยที่ร้านอาหารตลาดรังสิตตามที่นัดกันไว้ แล้วจำเลยบอกพยานว่า เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2529 เวลาประมาณ 22 นาฬิกาจำเลยเห็นนายสมชาย สองสมาน กับนายมานพ ทับทิมไชย เข็นรถบรรทุกกล่องผ่านหลังบ้านจำเลย พยานจึงได้ไปแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจทราบและโจทก์ยังมีพันตำรวจตรีสุชีพ หนูนาง กับร้อยตำรวจโทสุภาพกาญจนาพร เป็นพยานเบิกความต้องกันกับรายงานการสอบสวนและคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเอกสารหมาย จ.2 และ จ.4 ว่าจำเลยเคยให้การกับร้อยตำรวจโทเสริม บุญน้อม ว่าตามวันเวลาดังกล่าวมานั้นจำเลยเห็นนายมานพ ทับทิมไทยกับนายสมชาย สองสมานเข็นรถบรรทุกกล่องกระดาษสีน้ำตาล จำเลยได้พูดคุยกับคนทั้งสองด้วย เห็นว่า พยานโจทก์ทั้ง 3 คน ไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อนไม่มีเหตุที่จะปรักปรำจำเลยและเบิกความรับกับเอกสารหมาย จ.2และ จ.4 คำพยานโจทก์จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อ ส่วนจำเลยเองก็เบิกความรับว่าได้ลงชื่อไว้ในเอกสารหมาย จ.4 แต่อ้างว่าพนักงานสอบสวนไม่ได้อ่านให้จำเลยฟังก่อนลงชื่อซึ่งเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ พยานหลักฐานของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ คดีจึงฟังได้ว่าจำเลยได้เห็นนายมานพกับนายสมชายเข็นรถบรรทุกกล่องสีน้ำตาลผ่านหลังบ้านจำเลยในวันเวลาตามที่ได้เบิกความไว้จริง ดังนั้น เมื่อจำเลยมาเบิกความต่อศาลกลับเบิกความว่าเห็นนายมานพกับชายอีกคนหนึ่งชื่อจ่อยจำหน้าไม่ได้จึงเป็นการนำความอันเป็นเท็จมาเบิกความต่อศาลและเป็นข้อความสำคัญในคดี การกระทำของจำเลยจึงมีความผิดตามฟ้องตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น แต่เห็นว่าที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกมีกำหนด 1 ปีหนักเกินไป สมควรกำหนดโทษเสียใหม่…”
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177วรรคสอง ให้ลงโทษจำคุก 6 เดือน.

Share