แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การได้กรรมสิทธิ์ที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ย่อมหมายถึงการครอบครองที่ดินที่ผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์เมื่อที่ดินที่ผู้ร้องครอบครองไม่มีโฉนดหรือยังไม่เคยมีผู้ใดมีกรรมสิทธิ์ ผู้ร้องก็ไม่มีสิทธิที่จะขอให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ได้(อ้างฎีกาที่ 1060/2507)
ย่อยาว
คดีนี้ ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เดิมนายแป้น นางปี สามีภรรยานางสาวทองคำและนายต่อม บุตร เป็นเจ้าของที่ดินตามใบไต่สวนเนื้อที่ 16 ไร่ 2 งาน 36 วา เมื่อประมาณ 40 ปีเศษมานี้ นายแป้นได้ขายที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนเนื้อที่ประมาณ 8 ไร่ 2 งาน 20 วาให้แก่ผู้ร้อง โดยไม่ได้ทำหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นายแป้นได้มอบที่ดินให้ผู้ร้องเข้าครอบครองเป็นส่วนสัดติดต่อกันเกิน10 ปีแล้ว จึงขอศาลไต่สวนและมีคำสั่งว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นสั่งว่า ประมวลกฎหมายที่ดินและกฎกระทรวงมหาดไทยฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2497) ใช้บังคับเฉพาะที่ดินมีโฉนดแล้วเท่านั้นไม่รวมถึงใบไต่สวน จึงยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 3 และตามกฎหมายก่อนประมวลกฎหมายที่ดิน คือ พระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน ร.ศ.127มาตรา 35 ตราบใดที่ผู้ครอบครองที่ดินหรือเจ้าของที่ดินยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ตามกฎหมายดังกล่าวแล้ว ที่ดินนั้นยังไม่เป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้ใด นอกจากนี้ การได้กรรมสิทธิ์ที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ย่อมหมายถึงการครอบครองที่ดินที่ผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์ เมื่อที่ดินที่ผู้ร้องครอบครองไม่มีโฉนดหรือยังไม่เคยมีผู้ใดมีกรรมสิทธิ์ ก็ไม่มีกฎหมายสนับสนุนให้ผู้ร้องขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์ได้ และจะนำบทกฎหมายดังกล่าวมาอนุโลมใช้บังคับแก่ที่ดินที่มีใบไต่สวนดังที่ผู้ร้องฎีกาก็ไม่ได้ เพราะผู้ร้องมีแต่เพียงสิทธิครอบครองเท่านั้น ยังไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ร้องขอนั้นตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1060/2507 แต่ผู้ร้องมีทางที่จะดำเนินการตามประมวลกฎหมายที่ดินได้ ฎีกาผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาผู้ร้อง