แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยซึ่งเป็นอินยิเนียร์เรือมีทองไว้ในครอบครองมากเกินจะเป็นของใช้ส่วนตัว ซึ่งทองนี้ซุกไว้ในโต๊ะทำงานของจำเลยในเรือซึ่งเข้ามาสู่ประเทศไทยจากต่างประเทศ เป็นการส่อว่าจำเลยไม่สุจริตในการพาเข้ามาในประเทศ เมื่อมีกฎหมายศุลกากรบัญญัติให้ต้องแจ้งต่อเจ้าพนักงาน จำเลยไม่แจ้ง แม้จำเลยจะยังมิได้เอาทองเคลื่อนย้ายออกจากเรือเพื่อนำขึ้นบก ก็ถือว่าจำเลยกระทำผิดฐานพาทองอันเป็นของต้องห้ามเข้ามาในประเทศโดยมิได้รับอนุญาตแล้ว
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2494 เวลากลางวันจำเลยเป็นอินยิเนียร์เรือเสฉวน ซึ่งเดินระหว่างฮ่องกงและประเทศไทยได้บังอาจนำทองคำ 80 แท่งรวมน้ำหนัก 15 กิโลกรัม คิดเป็นเงินไทย454,608 บาท อันเป็นสินค้าที่ตกอยู่ในข่ายแห่งความควบคุมโดยมีพระราชกฤษฎีกาประกาศห้ามมิให้นำเข้ามาในราชอาณาจักร จากต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีกระทรวงการคลังหรือผู้ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เหตุเกิดที่ตำบลบางกระเจ้า อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ โจทก์ขอให้ศาลลงโทษและริบของกลาง และจ่ายเงินสินบนกับเงินรางวัลจับด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยผิดจริง จึงพิพากษาให้จำคุก 6 เดือนริบของกลาง จ่ายเงินสินบนแก่ผู้นำจับและจ่ายรางวัลแก่ผู้จับ
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยอ้างข้อกฎหมายว่า การที่จำเลยมีทองเป็นส่วนตัวมาในเรือเพียงแต่เรือเข้ามาจอดที่ท่าศุลกากรยังไม่ได้เอาของออกจากเรือนำขึ้นบก ยังถือไม่ได้ว่าได้มีการกระทำผิดฐานนำของเข้ามาในราชอาณาจักรนั้น เห็นว่า ถ้าเป็นการนำเข้ามาโดยสุจริตก็อาจเป็นได้ดังจำเลยว่า แต่คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตลักลอบนำทองเข้ามาในราชอาณาจักรฉะนั้นแม้จะยังมิได้นำขึ้นจากเรือก็ถือได้ว่ามีความผิดครบถ้วนพิพากษายืน