คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1343/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ผู้ประกอบการค้าหรืออุตสาหกรรมเรียกเอาค่าของที่ได้ส่งมอบซึ่งอยู่ในบังคับอายุความ 2 ปี นั้น ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1) บัญญัติยกเว้นกรณีที่ไม่อยู่ในบังคับของกำหนดอายุความดังกล่าวไว้ว่า เว้นแต่เป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายลูกหนี้นั้นเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่กฎหมายกำหนดข้อยกเว้นโดยให้พิจารณาถึงกิจการของฝ่ายลูกหนี้เป็นสำคัญ กรณีใดจะเข้าข้อยกเว้นดังกล่าวหรือไม่ จึงไม่จำต้องคำนึงว่าเป็นการที่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของฝ่ายเจ้าหนี้ด้วยหรือไม่ การที่จำเลยที่ 1 ซื้อปูนซีเมนต์จากโจทก์นำไปจำหน่ายหรือนำไปผสมเป็นคอนกรีตผสมเสร็จจำหน่ายแก่บุคคลทั่วไป ย่อมถือได้ว่าเป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ อันเป็นกรณีที่ต้องด้วยข้อยกเว้นตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1) สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงไม่อยู่ในบังคับอายุความ 2 ปี แต่มีอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (3)
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาบังคับตามฟ้อง และเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์อย่างคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความแล้ว มิได้วินิจฉัยประเด็นอื่นต่อไป แต่ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาใหม่ โจทก์ชอบที่จะเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์อย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์เป็นเงิน 200 บาท แต่เมื่อศาลอุทธรณ์สั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ ศาลฎีกามีอำนาจสั่งคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกิน 200 บาท แก่โจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์อนุมัติให้จำเลยที่ 1 เปิดบัญชีซื้อสินค้าจากโจทก์ ระหว่างวันที่ 3 พฤษภาคม 2539 ถึงวันที่ 17 มกราคม 2540 จำเลยที่ 1 ซื้อและรับสินค้าไปจากโจทก์หลายครั้ง คิดเป็นเงิน 3,496,123.49 บาท จำเลยที่ 5 ทำหนังสือค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ไว้ต่อโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงิน 2,163,302.80 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ให้การว่า โจทก์ฟ้องคดีเกิน 2 ปี นับแต่วันที่ 17 มกราคม 2540 อันเป็นวันสั่งซื้อสินค้าครั้งสุดท้าย คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 5 ให้การว่า หนี้ค่าสินค้าตามฟ้องมีอายุความ 2 ปี โจทก์ต้องฟ้องคดีภายในวันที่ 17 มกราคม 2542 แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2543 คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยประเด็นอื่นที่ยังไม่ได้วินิจฉัย แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยที่ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยของจำเลยที่ 5 มีเพียงว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จำเลยที่ 5 ฎีกาสรุปความว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคลาดเคลื่อนจากพยานหลักฐานในท้องสำนวน เพราะการที่จำเลยที่ 1 ซื้อปูนซีเมนต์จากโจทก์นำไปจำหน่ายหรือนำไปผสมเป็นคอนกรีตผสมเสร็จจำหน่ายแก่บุคคลทั่วไป เป็นการค้าที่เป็นประโยชน์แก่กิจการอุตสาหกรรมของโจทก์ซึ่งเป็นผู้ผลิตและขายส่ง มิใช่เป็นการที่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ค้าปลีกเพียงฝ่ายเดียว จำเลยที่ 1 ประกอบกิจการค้าในลักษณะซื้อมาขายไปตามปกติ กรณีจึงไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะไม่ใช้อายุความ 2 ปี ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (1) นั้น เห็นว่า แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยปัญหานี้โดยมิได้พิจารณาว่าโจทก์ได้รับประโยชน์จากการค้าขายกับจำเลยที่ 1 ด้วยหรือไม่ก็ตาม ก็หาใช่เป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคลาดเคลื่อนจากพยานหลักฐานในท้องสำนวนไม่ กรณีที่ผู้ประกอบการค้าหรืออุตสาหกรรมเรียกเอาค่าของที่ได้ส่งมอบซึ่งอยู่ในบังคับอายุความ 2 ปีนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (1) บัญญัติยกเว้นกรณีที่ไม่อยู่ในบังคับของกำหนดอายุความดังกล่าวไว้ว่า เว้นแต่เป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายลูกหนี้นั้นเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่กฎหมายกำหนดยกเว้นโดยให้พิจารณาถึงกิจการของฝ่ายลูกหนี้เป็นสำคัญ กรณีใดจะเข้าข้อยกเว้นดังกล่าวหรือไม่ จึงไม่จำต้องคำนึงว่าเป็นการที่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของฝ่ายเจ้าหนี้ด้วยหรือไม่ดังที่จำเลยที่ 5 ฎีกา การที่จำเลยที่ 1 ซื้อปูนซีเมนต์จากโจทก์นำไปจำหน่ายหรือนำไปผสมเป็นคอนกรีตผสมเสร็จจำหน่ายแก่บุคคลทั่วไป ย่อมถือได้ว่าเป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้นั้นเอง อันเป็นกรณีที่ต้องด้วยข้อยกเว้นตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (1) สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงไม่อยู่ในบังคับอายุความ 2 ปี แต่มีอายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33 (5) ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 5 ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้โจทก์อุทธรณ์โดยขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามฟ้อง และชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความแล้วมิได้วินิจฉัยประเด็นอื่นต่อไป แต่ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาใหม่ ดังนี้ จึงชอบที่จะเรียกเก็บค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์อย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ เป็นเงิน 200 บาท แต่ศาลอุทธรณ์สั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์เป็นพับ ศาลฎีกามีอำนาจสั่งให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกิน 200 บาท แก่โจทก์”
พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลอุทธรณ์ส่วนที่เกิน 200 บาท แก่โจทก์

Share