คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1343/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมจำเลยและผู้เช่ารวยอื่น ๆ อีกประมาณ 112 รายได้เช่าที่โจทก์ เพื่อปลูกเรือนอาศัยอยู่ครบสัญญาจำเลยจึงมาทำสัญญาเช่าเหมาไปจากโจทก์เพื่อนำไปให้ผู้อื่นเช่าช่วงและทำการค้า ผู้เช่ารายอื่น ๆ ต้องมาเช่าจากจำเลยไปอีกทอดหนึ่ง เช่นนี้แล้วแม้จำเลยจะได้ปลูกเรือนอาศัยอยู่ในที่พิพาทมาก่อนแล้วก็ตาม ก็เห็นว่าจำเลยได้สละเจตนาเดิมที่เคยเช่าอยู่อาศัยมาเป็นเช่าอยู่เพื่อประโยชน์ให้เช่าช่วงและทำการค้าแล้ว จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้รับมอบอำนาจจากนางเมรูนิซา ฯ ผู้การมรดก เอ. เอ.อาร์ ฯ ให้มีอำนาจจัดการให้เช่าที่ดินพิพาท ฯลฯ ตลอดจนฟ้องคดี
เมื่อวันที่ ๔ พ.ย.๙๓ จำเลยทั้ง ๕ ได้เช่าที่ดินโฉนดที่ ๒๖๘๖ ถนนไมตรีจิตต จังหวัดพระนคร ค่าเช่าเดือนละ ๒,๕๐๐ บาท มีกำหนด ๑ ปี เพื่อประโยชน์ให้เช่าช่วงและทำการค้า ก่อนสัญญาสิ้นอายุ โจทก์แจ้งให้จำเลยมาทำสัญญาเช่าต่อ ถึงกำหนดจำเลยที่ ๑ คนเดียวไปขอเช่าต่อ แต่ไม่ตกลงกัน จำเลยจึงต้องส่งมอบที่พิพาทคืนแต่จำเลยทำคืนให้โจทก์ไม่ ทำให้โจทก์เสียหาย ซึ่งโจทก์อาจให้ผู้อื่นเช่าได้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ ๔,๐๐๐บาท รวมเป็นเงินค่าเสียหาย ๑๓,๔๖๖ บาท ๓๐ สตางค์ ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร ให้จำเลยส่งมอบที่พิพาทและใช้ค่าเสียหาย
จำเลยทั้ง ๕ ต่อสู้ว่า เดิมมีผู้เช่าที่รายพิพาททั้งหมด ๑๑๒ ราย รวมทั้งจำเลยที่ ๑,๒ ด้วย เพื่อปลูกอาศัยอยู่ ต่อมาจำเลยที่ ๕ กับพวกเช่าโดยตรงจากโจทก์ ผู้เช่ารายอื่น ๆ รวมจำเลยที่ ๑,๒ ทำสัญญาเช่าช่วงที่พิพาทเป็นส่วน ๆ จากจำเลยที่ ๕ เพื่ออยู่อาศัยอีกทอดหนึ่งโดยความยินยอมของโจทก์ครบกำหนด นายบ๊วยเป็นผู้เช่าโดยตรงจากโจทก์มีกำหนด ๑ ปี และจำเลยกับผู้เช่ารายอื่น เช่าช่วงจากนายบ๊วย ครบกำหนด จำเลย ๑,๒,๓,๔,๕ จึงไปขอเช่าโดยตรงจากโจทก์เฉพาะที่ดินซึ่งจำเลยทั้ง ๕ ได้ปลูกบ้านอยู่ก่อนแล้ว แต่โจทก์ขอให้จำเลยทั้ง ๕ รวมบ้านเช่าที่พิพาททั้งหมด และอนุญาตให้ผู้เช่าช่วงรายอื่น ๆ เช่าช่วงจากจำเลยทั้ง ๕ ได้ จำเลยจึงทำสัญญาเช่าช่วงจากจำเลยทั้ง ๕ อีกต่อหนึ่ง จำเลยคงอยู่อาศัยในบ้านที่ปลูกไว้ในที่พิพาทตามสภาพเดิม ครบกำหนด จำเลยมอบหมายให้จำเลยที่ ๑ ไปเจรจาขอเช่าที่พิพาทต่อจากโจทก์ แต่ไม่ตกลงกัน ส่วนค่าเช่าในอัตราเดิม จำเลยได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ. ควบคุมค่าเช่า ฯ และได้ส่งค่าเช่าเสมอมา จำเลยมิได้ละเมิดโจทก์ไม่เสียหาย
ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยทั้ง ๕ ได้อาศัยอยู่ในที่พิพาทไม่ได้ทำการค้า ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ ส่วนสัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลย เพื่อให้คนอื่นเช่าช่วงนั้นสิ้นอายุแล้วและไม่ได้รับความคุ้มครอง พิพากษาให้สัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยตามเอกสารหมาย จ.๔ สิ้นอายุแล้ว จำเลยทั้ง ๕ ไม่มีสิทธิไปเก็บค่าเช่าจากผู้เช่าช่วงรายอื่น ๆ อีก ให้จำเลยทั้ง ๕ ที่อยู่ในที่พิพาทมีสิทธิเช่าอยู่ ฯลฯ
โจทก์และจำเลยทั้ง ๕ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเจตนาของคู่สัญญาให้เช่าและเช่าที่พิพาท เพื่อประโยชน์แห่งการค้า คือเพื่อประโยนขน์ในการให้เช่าช่วงซึ่งเป็นการเพื่อหากำไรมิใช่เช่าเพื่ออยู่อาศัยโดยตรง การที่จำเลยบางคนปลูกเรือนอยู่ในที่พิพาทก็เพื่อดูแลรักษาผลประโยชน์ในการให้เช่าช่วงของจำเลยเอง จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ และฟังว่าจำเลยละเมิด แต่เห็นว่าค่าเสียหายนั้นโจทก์ควรได้แต่เพียงเดือนละ ๒,๕๐๐ บาท พิพากษากลับให้จำเลยส่งมอบที่พิพาทให้แก่โจทก์และใช้ค่าเสียหาย ฯลฯ
จำเลยทั้ง ๕ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทั้ง ๕ เช่าที่พิพาทเพื่อนำไปให้ผู้อื่นเช่าช่วง และในการให้เช่าช่วงนี้จำเลยเองเบิกความยอมรับว่า ถ้าเก็บค่าเช่าได้ทุกรายก็จะได้เงินมากกว่าค่าเช่าที่จะต้องชำระให้โจทก์ซึ่งเท่ากับจำเลยได้อยู่ในที่พิพาทโดยไม่ต้องออกเงินค่าเช่าเลย นอกจากค่าเช่ายังได้เงินกินเปล่าเมื่อจำเลยเช่าเหมาไปทั้งแปลง เพื่อประโยชน์ให้เช่าช่วงและทำการค้า แม้จำเลยบางคนได้ปลูกโรงเรือนอาศัยอยู่ในที่พิพาทมาก่อน ก็เห็นว่าจำเลยได้สละเจตนาเดิมที่เคยเช่าอยู่อาศัยมาเป็นเช่าอยู่เพื่อประโยชน์ในเช่าช่วงและทำการค้าแล้วจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ. ควบคุมค่าเช่า ฯ เมื่อสัญญาสิ้นอายุแล้วจำเลยต้องส่งคืนและต้องใช้ค่าเสียหาย
พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

Share