คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1338/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาจ้างทำของที่จำเลยทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชำระค่าจ้างให้โจทก์นั้น หากจำเลยคนหนึ่งผ่อนชำระหนี้บางส่วนแทนจำเลยอื่นด้วยให้โจทก์ เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงแล้ว ย่อมมีผลผูกพันจำเลยอื่นด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า วันที่ 26 กรกฎาคม 2496 และวันที่ 10 สิงหาคม 2496 จำเลยกับพวกตกลงจ้างโจทก์ทำเครื่องบนโบสถ์วัดดงตาล รวมค่าไม้ ตะปู เหล็ก ค่าจ้างทั้งสองครั้งเป็นเงิน 70,000 บาท โจทก์ทำงานเสร็จและส่งให้จำเลยรับแล้วแต่วันที่ 14 กรกฎาคม 2497 จำเลยจะต้องชำระเงินให้โจทก์เป็นระยะเวลาครั้งคราวจนหมดสิ้นเมื่องานเสร็จ หรือผ่อนชำระไม่เกิน 3 ปี ถ้าผิดนัดจำเลยต้องใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 2 เท่าจำเลยผิดสัญญาไม่ชำระให้เสร็จภายใน 3 ปี ครั้งหลังสุด จำเลยผ่อนชำระให้โจทก์เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2501 ยังค้างชำระ 17,000 บาท โจทก์ทวงถาม จำเลยขอผัดจึงขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงินที่ค้าง 17,000 บาท และค่าปรับอีก 34,000 บาท

จำเลยให้การว่า ไม่ได้จ้างโจทก์ วัดดงตาลเป็นผู้จ้าง ค้างค่าจ้างเพียง 6,800 บาท คดีขาดอายุความ

ศาลชั้นต้นเชื่อว่าจำเลยทุกคนลงชื่อในสัญญาจ้างจริง และค้างชำระค่าจ้างเป็นเงิน 17,000 บาท และควรให้จำเลยใช้เบี้ยปรับเพียง10,000 บาท คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ เพราะนายเมี้ยนจำเลยได้ผ่อนชำระหนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2501 ทำให้อายุความสะดุดหยุดลง จึงพิพากษาให้จำเลยทุกคนร่วมกันใช้ค่าจ้าง 17,000 บาทกับเบี้ยปรับ 10,000 บาทแก่โจทก์

จำเลยทุกคนอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า นายแบน นายน้อย จำเลยสองคนเท่านั้นที่ตกลงจ้างโจทก์ส่วนจำเลยอื่น ๆ ไม่ได้ตกลงจ้างโจทก์ดังกล่าว เรื่องค่าจ้างที่จำเลยว่าค้างชำระเพียง 6,800 บาทฟังไม่ได้ แต่เห็นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความสองปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 แล้ว พิพากษากลับยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้สนิทว่าจำเลยทั้ง 9ได้ลงนามเป็นผู้จ้างในเอกสาร จ.1 ก.ข.จริง ไม่ใช่วัดดงตาลเป็นผู้จ้าง ปัญหาเรื่องคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่นั้น ได้ความว่าโจทก์มีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง สัญญาจ้างรายนี้เป็นสัญญาจ้างทำของโจทก์จะเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ได้ภายใน 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 ตามสัญญาจ้างได้ตกลงกันว่าเงินค่าจ้างให้ผ่อนชำระได้ภายใน 3 ปี นับแต่วันทำสัญญา คือ วันที่ 10 สิงหาคม2496 อายุความจึงเริ่มนับแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2499 สิทธิเรียกร้องของโจทก์จะขาดอายุความในวันที่ 10 สิงหาคม 2501 แต่ในเดือนพฤษภาคม2501 นายเมี้ยน จันสะดี จำเลยได้ผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์ 2 คราวรวมเป็นเงิน 8,000 บาท อายุความจึงสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 ต้องเริ่มนับอายุความใหม่นับแต่วันที่ 26พฤษภาคม 2501 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ได้รับชำระหนี้บางส่วนครั้งสุดท้ายจากนายเมี้ยน จันสะดี จำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 181 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2502 ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า หนี้รายนี้เป็นหนี้ร่วมการที่นายเมี้ยนจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ก็มีผลเฉพาะตัวนายเมี้ยนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 295 คดีโจทก์สำหรับจำเลยอื่นย่อมขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ตามสัญญาจ้าง จำเลยทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชำระค่าจ้างให้โจทก์ การที่นายเมี้ยน จันสะดีชำระค่าจ้างให้โจทก์เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2501 ก็ได้บันทึกไว้ว่าคณะกรรมการวัดได้ชำระเงินให้โจทก์เป็นเงิน 5,000 บาท เห็นได้ชัดว่านายเมี้ยนจำเลยชำระค่าจ้างให้โจทก์ในฐานะกรรมการวัดผู้จ้างโจทก์ย่อมรวมถึงจำเลยอื่นด้วย ฟังข้อเท็จจริงก็ได้ความว่า เงินที่ชำระหนี้แก่โจทก์นี้เป็นเงินซึ่งราษฎรบริจาคให้แก่วัด เมื่อนายเมี้ยนรวบรวมได้แล้วก็นำไปชำระให้โจทก์แทนผู้จ้างคนอื่นด้วย หาใช่เงินส่วนตัวของนายเมี้ยน จำเลยผู้เดียวไม่ การที่นายเมี้ยน จำเลยผ่อนชำระหนี้บางส่วนให้โจทก์ย่อมมีผลผูกพันจำเลยอื่นด้วย กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 295 ดังคำวินิจฉัยศาลอุทธรณ์ คดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share