แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยเรียกร้องเงินจากโจทก์ครั้งแรกในวันที่6มิถุนายน2531โจทก์เองก็ได้ยอมรับว่าได้ต่อรองจำนวนเงินและตกลงให้เงินแก่จำเลยจำนวน15,000บาทถือได้ว่าโจทก์สมัครใจมอบเงินจำนวนดังกล่าวให้จำเลยเพื่อไม่ต้องการให้จำเลยส่งเรื่องแบ่งแยกที่ดินไปกระทรวงดังจำเลยอ้างโจทก์จึงมีส่วนสนับสนุนไม่ให้จำเลยกระทำการตามหน้าที่ดังกล่าวโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้องแต่ที่โจทก์กล่าวอ้างว่าในวันที่9มิถุนายน2532จำเลยได้เรียกร้องเงินจากโจทก์อีกเป็นครั้งที่สองจำนวน4,000บาทจำเลยจึงจะมอบน.ส.3ก.ที่แบ่งแยกให้โจทก์นั้นโจทก์ไม่ยินยอมมอบเงินแก่จำเลยแต่อย่างใดโจทก์จึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำแหน่งนายช่างรังวัด 4มีหน้าที่ในการรังวัดสอบเขตแบ่งแยกที่ดิน เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน2531 เวลากลางวัน ขณะที่โจทก์นำจำเลยออกทำการตรวจสอบรังวัดที่ดิน จำเลยได้เรียกร้องเงินจากโจทก์จำนวน 15,000 บาทเพื่อเอาเป็นประโยชน์ของจำเลยเองโดยมิชอบเพื่อจำเลยจะได้ทำการตรวจสอบรังวัดแบ่งแยกที่ดินให้ตามความประสงค์ของโจทก์กับพวกตามอำนาจและตำแหน่งหน้าที่ของจำเลย หากโจทก์ไม่ยินยอมจำเลยแจ้งว่าการตรวจสอบรังวัดแบ่งแยกที่ดินของโจทก์จะมีอุปสรรคและอาจไม่สามารถจัดการให้ได้ จนโจทก์มอบเงินจำนวน15,000 บาทให้จำเลยรับไปเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2531 เวลากลางวันจำเลยว่าจะดำเนินการแบ่งแยกที่ดินให้เสร็จสิ้นภายใน 2 เดือนต่อมาโจทก์ได้ไปติดต่อกับจำเลยอีกหลายครั้งแต่จำเลยแจ้งว่ายังดำเนินการไม่เสร็จสิ้น วันที่ 9 มิถุนายน 2532 เวลากลางวันโจทก์ได้ไปติดต่อขอรับหนังสือรับรองการทำประโยชน์จากจำเลยอีกครั้ง แต่จำเลยแจ้งกับโจทก์ว่าจะต้องให้เงินแก่จำเลยอีกจำนวน4,000 บาท จำเลยจึงจะมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์แก่โจทก์ได้ แต่โจทก์ไม่ยินยอมเพราะเห็นว่าจำเลยไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินจากโจทก์อีก และโจทก์ก็ยังไม่ได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์จากจำเลย การกระทำของจำเลยเป็นการละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยมีเจตนาทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91, 149 และ 157
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 รวม 2 กระทง เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ให้จำคุกกระทงละ 5 ปี รวมจำคุก10 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยเรียกร้องเงินจากโจทก์ครั้งแรกในวันที่ 6 มิถุนายน 2531 นั้น โจทก์เองก็ได้ยอมรับว่าได้ต่อรองจำนวนเงินและตกลงให้เงินแก่จำเลยจำนวน 15,000 บาทนั้น ถือได้ว่าโจทก์สมัครใจมอบเงินจำนวนดังกล่าวให้จำเลยเพื่อไม่ต้องการให้จำเลยส่งเรื่องแบ่งแยกที่ดินไปกระทรวงดังจำเลยอ้าง โจทก์จึงมีส่วนสนับสนุนไม่ให้จำเลยกระทำการตามหน้าที่ดังกล่าว โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง แต่ที่โจทก์กล่าวอ้างว่าในวันที่ 9 มิถุนายน 2532 จำเลยได้เรียกร้องเงินจากโจทก์อีกเป็นครั้งที่สองจำนวน 4,000 บาท จำเลยจึงจะมอบน.ส.3 ก. ที่แบ่งแยกให้โจทก์นั้น โจทก์ไม่ยินยอมมอบเงินแก่จำเลยแต่อย่างใด โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยได้แล้วฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้กระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับเงินจำนวน 4,000 บาท จากโจทก์ในวันที่ 9 มิถุนายน 2532
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดกระทงเดียว ให้จำคุก5 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3