คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1336/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยสร้างตึกแถวที่จะขายให้โจทก์เสร็จพร้อมที่จะโอนตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม 2539 โจทก์ย่อมมีหน้าที่รับโอนและชำระราคาส่วนที่เหลืออีก 2,000,000 บาท แก่จำเลย แต่โจทก์ไม่ชำระแม้ในช่วงเวลานั้นต่างมิได้ถือเอาเงื่อนไขในการชำระหนี้เป็นสาระสำคัญ เนื่องจากจำเลยกำลังบอกขายตึกแถวพร้อมที่ดินให้แก่ผู้อื่น เพื่อประโยชน์ของโจทก์ แต่ไม่เป็นการแน่นอนว่าจะสำเร็จได้ โจทก์ย่อมมีเวลาเพียงพอในการเตรียมเงินชำระให้แก่จำเลยการที่จำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ชำระเงินที่ค้างชำระแก่จำเลยภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือ อันเป็นเวลาหลังจากที่จำเลยปลูกสร้างตึกแถวแล้วเสร็จเกือบ 1 ปี จึงเป็นการบอกกล่าวให้เวลาอันสมควรแล้ว เมื่อหนังสือดังกล่าวมีข้อความแสดงเจตนาเลิกสัญญา และโจทก์ไม่ชำระเงินภายในเวลากำหนดสัญญาจะซื้อจะขายย่อมเป็นอันเลิกกันเมื่อล่วงพ้น 15 วัน นับแต่วันที่โจทก์ได้รับหนังสือทวงถามนั้น แต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมจำเลยมีหน้าที่คืนเงิน 1,200,000 บาท ที่รับไว้พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391 วรรคหนึ่งและวรรคสอง
โจทก์ชำระเงินดาวน์ 300,000 บาท อันเป็นส่วนหนึ่งของเงินจำนวน1,200,000 บาท ให้แก่จำเลยในวันทำสัญญา โดยมิใช่เป็นการให้ไว้เพื่อเป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญา จึงต้องถือเป็นส่วนหนึ่งของราคาที่โจทก์ชำระล่วงหน้า มิใช่มัดจำที่จำเลยจะริบได้ เมื่อจำเลยมีหนังสือทวงถามให้โจทก์ชำระเงินส่วนที่เหลือภายใน 15 วัน นับแต่วันที่โจทก์ได้รับหนังสือแล้วโจทก์เพิกเฉย โจทก์ย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 วรรคสอง จำเลยมีสิทธิเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากโจทก์เพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การที่โจทก์ผิดนัดได้ตามมาตรา 215 การที่จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ต้องคืนเงินล่วงหน้า 1,200,000 บาท ให้แก่โจทก์จนครบจำนวน เนื่องจากจำเลยได้รับความเสียหาย เพราะเหตุที่โจทก์ผิดนัดและต้องรับภาระดอกเบี้ยที่กู้ยืมเงินจากธนาคารมาลงทุนปลูกสร้างอาคารพอแปลได้ว่าจำเลยเรียกเอาเงิน 1,200,000 บาท นั้นเป็นค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การที่โจทก์ผิดนัดไม่ชำระหนี้
การที่โจทก์ไม่ชำระเงิน 2,000,000 บาทให้แก่จำเลยเป็นเหตุให้จำเลยต้องเสียดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารสำหรับจำนวนเงินดังกล่าวในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี แต่ค่าเสียหายดังกล่าวเป็นค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 222 วรรคสอง เมื่อจำเลยไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบโจทก์จึงมิได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นถึงความเสียหายเช่นนั้นล่วงหน้าก่อนแล้ว จำเลยจะเรียกร้องให้โจทก์รับผิดไม่ได้ อย่างไรก็ดีการที่โจทก์ผิดนัดไม่ชำระหนี้แก่จำเลยย่อมทำให้จำเลยได้รับความเสียหายดังนั้น แม้จำเลยจะนำสืบถึงค่าเสียหายไม่ได้ ศาลก็มีอำนาจคิดคำนวณให้ได้ตามพฤติการณ์แห่งคดีโดยเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยกรณีที่ลูกหนี้ผิดนัดตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง ประกอบกับความสุจริตในการดำเนินคดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2539 โจทก์กับจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายตึกแถวสามชั้นครึ่งหนึ่งคูหา เลขที่ 420/4 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 35823 ในราคา 3,200,000 บาท โจทก์ชำระเงินดาวน์จำนวน300,000 บาท ให้แก่จำเลยในวันทำสัญญา และชำระเงินให้แก่จำเลยอีก3 ครั้ง คือวันที่ 14 มิถุนายน 2539 ชำระเงินจำนวน 200,000 บาท วันที่30 มิถุนายน 2539 ชำระเงินจำนวน 300,000 บาท และวันที่ 3 ตุลาคม2539 ชำระเงินจำนวน 400,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 1,200,000บาท ต่อมาวันที่ 5 สิงหาคม 2540 จำเลยมีหนังสือบอกกล่าวให้โจทก์ชำระราคาส่วนที่เหลืออีก 2,000,000 บาท ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่โจทก์ได้รับหนังสือทวงถาม หากพ้นกำหนดดังกล่าวจำเลยถือว่าโจทก์ผิดสัญญาและขอบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายโดยริบเงินที่โจทก์ชำระไว้แล้ว ซึ่งไม่ถูกต้องเพราะโจทก์ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาเนื่องจากสัญญาดังกล่าวไม่ได้กำหนดระยะเวลาชำระหนี้ไว้ จำเลยต้องให้เวลาแก่โจทก์ตามสมควร การที่จำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ชำระเงินส่วนที่เหลือจำนวน 2,000,000 บาท ภายใน15 วัน ไม่เป็นการให้เวลาพอสมควรแก่โจทก์ จำเลยไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและไม่มีสิทธิริบเงินที่โจทก์ชำระไปแล้วเพราะไม่ใช่เงินมัดจำ อย่างไรก็ตามเมื่อจำเลยบอกเลิกสัญญาและโจทก์ตกลงสนองรับ สัญญาจะซื้อจะขายย่อมเป็นอันเลิกกัน ทำให้คู่สัญญากับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม จำเลยต้องคืนเงินที่รับไว้ให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่รับไว้จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 113,600 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,313,600 บาทขอให้บังคับจำเลยคืนเงินจำนวน 1,313,600 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,200,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขาย เพราะตามสัญญามีข้อความระบุไว้โดยชัดแจ้งว่า เมื่อจำเลยสร้างตึกแถวเสร็จแล้วโจทก์ต้องชำระราคาให้แก่จำเลยทันที จำเลยสร้างตึกแถวเสร็จตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2539 และบอกกล่าวให้โจทก์ชำระราคาตามสัญญาหลายครั้งแล้ว แต่โจทก์เพิกเฉย จนถึงวันที่ 5 สิงหาคม 2540 จำเลยจึงมีหนังสือบอกกล่าวให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญา แต่โจทก์เพิกเฉย ไม่ชำระหนี้เป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายไม่น้อยกว่า 1,100,000 บาท จำเลยจึงมีสิทธิริบเงินที่โจทก์ชำระแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,200,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 300,000 บาท นับแต่วันที่ 19 เมษายน 2539 จากต้นเงิน 200,000 บาท นับแต่วันที่ 14 มิถุนายน2539 จากต้นเงิน 300,000 บาท นับแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2539 และจากต้นเงิน 400,000 บาท นับแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2539 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2540 รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 113,600 บาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2539 โจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 35823 ตำบลห้วยเหนือ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ พร้อมตึกแถวสามชั้นครึ่งหนึ่งคูหากับจำเลยในราคา 3,200,000 บาท โจทก์ชำระเงินดาวน์ในวันทำสัญญา 300,000 บาท ส่วนที่เหลือจะชำระเมื่อจำเลยปลูกสร้างตึกแถวเสร็จแล้ว แต่มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ หลังจากนั้นจำเลยได้ลงมือปลูกสร้างตึกแถวดังกล่าว ในระหว่างนั้นโจทก์ได้ชำระราคาตึกแถวพร้อมที่ดินแก่จำเลยอีก 3 ครั้ง คือ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2539 ชำระ200,000 บาท วันที่ 30 มิถุนายน 2539 ชำระ 300,000 บาท และวันที่3 ตุลาคม 2539 อันเป็นช่วงเวลาที่ตึกแถวแล้วเสร็จชำระอีก 400,000 บาทรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,200,000 บาท หลังจากนั้นโจทก์ไม่ชำระราคาอีกเลยต่อมาวันที่ 5 สิงหาคม 2540 อันเป็นเวลาหลังจากที่จำเลยปลูกสร้างตึกแถวแล้วเสร็จประมาณ 10 เดือน จำเลยมีหนังสือทวงถามให้โจทก์ชำระเงินส่วนที่เหลืออีก 2,000,000 บาท แก่จำเลยภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ มิฉะนั้นจะถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาซึ่งจำเลยขอถือเอาหนังสือฉบับดังกล่าวเป็นการบอกเลิกสัญญาและริบเงินที่โจทก์ชำระแล้วเสียทั้งสิ้นโจทก์ได้รับหนังสือฉบับนั้นแล้วเพิกเฉยไม่ชำระเงินแก่จำเลย แต่กลับมอบให้ทนายความมีหนังสือลงวันที่ 25 สิงหาคม 2540 แจ้งแก่จำเลยว่า โจทก์ประสงค์จะเลิกสัญญากับจำเลยและขอให้จำเลยคืนเงิน 1,200,000 บาทแก่โจทก์

คดีมีประเด็นข้อพิพาทมาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาตามฎีกาของจำเลยเพียงข้อเดียวว่า จำเลยมีหน้าที่ต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 387 บัญญัติว่า “ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้อีกฝ่ายหนึ่งจะกำหนดระยะเวลาพอสมควร แล้วบอกกล่าวให้ฝ่ายนั้นชำระหนี้ภายในระยะเวลานั้นก็ได้ ถ้าและฝ่ายนั้นไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนดให้ไซร้ อีกฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาเสียก็ได้” และมาตรา 391 บัญญัติว่า “เมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม แต่ทั้งนี้จะให้เป็นที่เสื่อมเสียแก่สิทธิของบุคคลภายนอกหาได้ไม่…” และความในวรรคสุดท้ายว่า “การใช้สิทธิเลิกสัญญานั้นหากระทบกระทั่งถึงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายไม่” เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำเบิกความของโจทก์และจำเลยตรงกันว่า จำเลยปลูกสร้างตึกแถวแล้วเสร็จพร้อมที่จะโอนให้แก่โจทก์ตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม2539 โจทก์ย่อมมีหน้าที่รับโอนตึกแถวพร้อมที่ดินดังกล่าวและชำระราคาส่วนที่เหลืออีก 2,000,000 บาท แก่จำเลย แต่โจทก์หาได้ชำระเงินจำนวนนั้นไม่ที่โจทก์แก้ฎีกาว่า การที่จำเลยมีหนังสือลงวันที่ 5 สิงหาคม 2540 แจ้งให้โจทก์ชำระเงินจำนวนสูงถึง 2,000,000 บาท แก่จำเลยโดยให้เวลาเพียง15 วัน ไม่เป็นการให้เวลาตามสมควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 387 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์เบิกความรับว่านอกจากโจทก์ไม่ได้ชำระราคาตึกแถวพร้อมที่ดินส่วนที่เหลือให้แก่จำเลยแล้ว โจทก์ยังขอร้องให้จำเลยช่วยบอกขายตึกแถวดังกล่าวให้ด้วย คำเบิกความของโจทก์ในตอนนี้ตรงกับคำเบิกความของจำเลยที่ยืนยันว่า ในช่วงปลายปี 2539 หรือต้นปี 2540ไม่ได้ความชัด โจทก์ขอร้องให้จำเลยช่วยขายตึกแถวพร้อมที่ดินให้แก่ผู้อื่นซึ่งจำเลยรับปากว่าจะดำเนินการให้อีกทั้งรับว่าหากขายได้จำเลยจะคืนเงินที่ได้รับไว้แล้ว 1,200,000 บาท ให้แก่โจทก์ คำเบิกความของโจทก์และจำเลยในข้อนี้เป็นเครื่องชี้เจตนาของโจทก์ให้เห็นเด่นชัดว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะชำระราคาที่เหลือให้แก่จำเลยมาตั้งแต่แรกที่จำเลยปลูกสร้างตึกแถวแล้วเสร็จ หาใช่โจทก์ประสงค์จะปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญา แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ทันเพราะจำเลยไม่ให้เวลาตามสมควรดังที่โจทก์ยกขึ้นอ้างในคำแก้ฎีกาไม่ เมื่อพิเคราะห์ว่า โจทก์เป็นฝ่ายเพิกเฉยไม่ชำระราคาส่วนที่เหลือให้แก่จำเลยนับตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม 2539 เป็นต้นมา แม้จะได้ความว่าในช่วงเวลานั้นทั้งโจทก์และจำเลยต่างมิได้ถือเอาเงื่อนไขในการชำระหนี้เป็นสาระสำคัญ เนื่องจากจำเลยกำลังบอกขายตึกแถวพร้อมที่ดินให้แก่ผู้อื่นเพื่อประโยชน์ของโจทก์ก็ตาม แต่ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าไม่เป็นการแน่นอนว่าจำเลยจะสามารถจัดการขายตึกแถว พร้อมที่ดินให้เป็นผลสำเร็จได้โจทก์ย่อมมีเวลาเพียงพอในการเตรียมเงินให้พร้อมเพื่อชำระให้แก่จำเลย การที่จำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ชำระเงินที่ค้างชำระอยู่อีก 2,000,000 บาท แก่จำเลยภายใน 15 วัน นับแต่วันที่โจทก์ได้รับหนังสือ อันเป็นเวลาหลังจากที่จำเลยปลูกสร้างตึกแถวแล้วเสร็จและพร้อมที่จะโอนให้แก่โจทก์เกือบ 1 ปี จึงเป็นการบอกกล่าวให้โจทก์ชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควรแล้ว เมื่อหนังสือดังกล่าวมีข้อความระบุชัดว่า หากล่วงพ้นกำหนดเวลา 15 วันแล้วโจทก์ไม่ชำระราคาส่วนที่เหลือจำเลยขอถือเอาหนังสือฉบับนั้นเป็นการแสดงเจตนาเลิกสัญญา ดังนั้น เมื่อโจทก์ไม่ชำระเงิน 2,000,000บาท ภายในเวลาที่จำเลยกำหนดสัญญาจะซื้อจะขายตึกแถวพร้อมที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยย่อมเป็นอันเลิกกัน เมื่อล่วงพ้น 15 วัน นับแต่วันที่โจทก์ได้รับหนังสือทวงถามนั้น อันเป็นผลจากการที่จำเลยแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาไปยังโจทก์ หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์กับจำเลยสมัครใจตกลงเลิกสัญญาต่อกันในภายหลังดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยไม่ โจทก์กับจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม กล่าวคือ จำเลยมีหน้าที่คืนเงิน 1,200,000 บาท ที่รับไว้พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่งและวรรคสอง แม้โจทก์จะได้ชำระเงินดาวน์จำนวน 300,000 บาท อันเป็นส่วนหนึ่งของเงินจำนวน1,200,000 บาท ดังกล่าวให้แก่จำเลยในวันทำสัญญาก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าเป็นการให้ไว้แก่จำเลยเพื่อเป็นการประกันการที่จะปฏิบัติตามสัญญา จึงต้องถือเป็นส่วนหนึ่งของราคาที่โจทก์ชำระให้แก่จำเลยล่วงหน้า มิใช่เงินมัดจำที่จำเลยจะริบได้ ทั้งไม่มีข้อสัญญาให้จำเลยมีสิทธิริบเงินที่โจทก์ชำระแล้วได้ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าที่จำเลยมีหนังสือทวงถามให้โจทก์ชำระเงินส่วนที่เหลือภายใน 15 วัน นับแต่วันที่โจทก์ได้รับหนังสือ แล้วโจทก์เพิกเฉยไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดเวลานั้น โจทก์ย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่า “…ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทินและลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนดไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด โดยมิพักต้องเตือนเลย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการชำระหนี้ ซึ่งได้กำหนดเวลาลงไว้อาจคำนวณนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่ได้บอกกล่าว” โดยผลแห่งการนี้ จำเลยมีสิทธิเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากโจทก์เพื่อความเสียหาย อันเกิดแต่การที่โจทก์ผิดนัดได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 215การที่จำเลยให้การและฎีกาว่า จำเลยไม่จำต้องคืนเงิน 1,200,000 บาท ให้แก่โจทก์จนครบจำนวน เนื่องจากจำเลยได้รับความเสียหายเพราะเหตุที่โจทก์ผิดนัดและต้องรับภาระดอกเบี้ยที่กู้ยืมเงินจากธนาคารมาลงทุนปลูกสร้างอาคารพอแปลได้ว่าจำเลยเรียกเอาเงิน 1,200,000 บาท นั้นเป็นค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การที่โจทก์ผิดนัดไม่ชำระหนี้ ส่วนปัญหาว่าจำเลยมีสิทธิเรียกเอาเงินดังกล่าวไว้ทั้งจำนวนหรือไม่นั้น จำเลยเบิกความว่า การที่โจทก์ไม่ชำระเงิน 2,000,000 บาทให้แก่จำเลยเป็นเหตุให้จำเลยต้องเสียดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารสำหรับจำนวนเงินดังกล่าวในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี หรือเท่ากับปีละ 350,000 บาท แต่ค่าเสียหายดังกล่าวมิใช่ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 222 วรรคหนึ่ง ถือว่าเป็นค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษตามมาตรา 222 วรรคสอง เมื่อไม่ได้ความว่าจำเลยแจ้งให้โจทก์ทราบถึงความเสียหายที่จำเลยจะได้รับจากการที่โจทก์ผิดนัดไม่ชำระหนี้นั้น จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นถึงความเสียหายเช่นนั้นล่วงหน้าก่อนแล้ว จำเลยจะเรียกร้องให้โจทก์รับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปีในหนี้เงิน 2,000,000 บาทไม่ได้ อย่างไรก็ดี การที่โจทก์ผิดนัดไม่ชำระหนี้แก่จำเลยย่อมทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ดังนั้น แม้จำเลยจะนำสืบถึงค่าเสียหายไม่ได้ ศาลก็มีอำนาจคิดคำนวณให้ได้ตามพฤติการณ์แห่งคดีโดยเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยของหนี้เงินในระหว่างที่ลูกหนี้ผิดนัด ตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง ประกอบกับความสุจริตในการดำเนินคดี และเห็นสมควรให้จำเลยคืนเงินแก่โจทก์บางส่วนเป็นเงิน 900,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 900,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

Share