คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1336/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สืบพยานจำเลยซึ่งมีหน้าที่สืบก่อนไปจนเสร็จแล้ว ต่อมาโจทก์จึงมาร้องขอระบุพยาน อ้างว่าพลั้งเผลอหลงลืมไม่ได้ตรวจดูสำนวนก่อนโดยเชื่อว่าได้ยื่นไว้ต่อศาลแล้วนั้น ทำให้จำเลยเสียเปรียบในทางคดี ไม่ควรอนุญาต

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เข้าหุ้นกับโจทก์ตั้งโรงสีเล็กรับจ้างสีข้าวแบ่งผลกำไรกัน โดยเครื่องจักรสีข้าวเป็นของจำเลยที่ 1 โจทก์ลงทุนเป็นเงิน 3,100 บาท ทำการสีได้ 1 เดือน เครื่องจักรชำรุด จึงตกลงเลิกหุ้นส่วนกัน และจำเลยตกลงจะคืนเงิน 2,681 บาทให้โจทก์ ปรากฏตามสำเนาหนังสือสัญญาท้ายฟ้องแล้วจำเลยไม่ชำระ

จำเลยที่ 1 ให้การว่า ได้เข้าหุ้นกันจริง โจทก์ถือหุ้น 7,000 บาท ยังชำระค่าหุ้นไม่หมด จำเลยยอมทำหนังสือสัญญาที่จะต้องคืนเงินให้แก่โจทก์ก็เพราะถูกโจทก์ข่มขู่ จำเลยขอบอกล้าง

ศาลจังหวัดเชียงใหม่กำหนดให้จำเลยที่ 1 สืบพยานก่อนนัดสืบครั้งแรกวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2501 แล้วเลื่อนไปสืบเสร็จวันที่ 4 มีนาคม 2501 และนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 20 มีนาคม 2501 ครั้นถึงวันที่ 12 มีนาคม 2501 โจทก์ยื่นคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานโดยอ้างว่าพลั้งเผลอหลงลืมไม่ได้ตรวจดูสำนวนก่อน โดยเชื่อว่าได้ยื่นไว้ต่อศาลแล้ว นอกจากนั้น โจทก์ว่า เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องโจทก์ก็ได้ยื่นสำเนาเอกสารพร้อมฟ้อง ซึ่งจำเลยได้รับสำเนาแล้ว และจำเลยก็ยอมรับว่าได้ทำสัญญาดังกล่าวนั้นจริง หากศาลไม่รับบัญชีระบุพยาน ก็ขอให้ศาลใช้อำนาจเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมเรียกพยานบุคคลดังปรากฏในหนังสือสัญญามาเบิกความเป็นพยาน

ศาลสอบถามจำเลย จำเลยที่ 1 แถลงคัดค้าน จำเลยที่ 2-3 แถลงไม่คัดค้าน ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม อนุญาตให้รับบัญชีระบุพยานของโจทก์และเมื่อสืบพยานแล้วศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์เพิ่งยื่นบัญชีระบุพยานภายหลังเมื่อสืบพยานจำเลยเสร็จไปแล้วหลายวัน ฝ่ายจำเลยย่อมไม่ทราบถึงพยานหลักฐานของโจทก์ว่ามีอย่างไรก่อนที่จะสืบพยานของตน เป็นการเสียเปรียบ ในทางคดี ตามพฤติการณ์และเหตุผล ไม่มีเหตุสมควรจะรับบัญชีพยานและรับฟังพยานหลักฐานที่ฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 เช่นนี้ จึงให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ย้อนสำนวนไปให้พิจารณาพิพากษาใหม่

Share