คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1333/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญากู้ที่ส่งศาลจัดว่าเป็นพยานหลักฐานอันหนึ่ง เมื่อเถียงกันว่าลายมือชื่อผู้กู้ตามสัญญานั้นเป็นลายมือชื่อของจำเลยจริงหรือไม่ ศาลย่อมพิจารณาเทียบเคียงพิเคราะห์กับลายมือชื่อของจำเลยที่แท้จริงในท้องสำนวนซึ่งรับรองกันอยู่แล้วประกอบกับคำพยานแล้ววินิจฉัยชี้ขาดว่าเป็นลายมือชื่อของจำเลยตามที่เป็นข้อโต้เถียงกันได้ ไม่ผิดกระบวนพิจารณาอย่างใด.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลย ๖๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยต่อสู้ว่าไม่ได้กู้ ไม่ได้รับเงินจากโจทก์ โจทก์เป็นกำนันได้จับกุมนายประพันธ์ในข้อหาฐานลักกระบือและหมิ่นประมาทนายนันท์ ต่อมานายประพันธ์กับพวกยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่และอ้างจำเลยเป็นพยาน โจทก์โกรธเคืองจำเลย จึงแกล้งฟ้องจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยรวม ๖,๔๕๐ บาท ฯลฯ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ตามฟ้องจริง
และเห็นว่า สัญญากู้รายพิพาทเป็นพยานหลักฐานอันหนึ่งซึ่งเถียงกันว่าลายมือชื่อผู้กู้ตามสัญญานั้นเป็นลายมือชื่อของจำเลยหรือไม่ ศาลย่อม พิจารณาเทียบเคียงพิเคราะห์กับลายมือชื่อของจำเลยที่แท้จริงในท้องสำนวนซึ่งรับรองกันอยู่แล้วประกอบกับคำพยานว่าน่าเชื่อว่าเป็นลายมือชื่อของจำเลยตามที่เป็นข้อโต้เถียงกันได้ ไม่ผิดกระบวนพิจารณาอย่างใด
พิพากษายืน.

Share