คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1330/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งสองขอฟ้องอย่างคนอนาถา เมื่อโจทก์ที่ 2 มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 1 ฟ้องแทน การที่โจทก์ที่ 1 แต่ผู้เดียวได้สาบานตัว จึงถือได้ว่าสาบานตัวแทนโจทก์ที่ 2 ด้วย
เมื่อผู้ตายทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้ผู้อื่นแล้วทายาทโดยธรรมจึงถูกตัดมิได้รับมรดก ย่อมไม่อยู่ในฐานะเป็นทายาท จะอ้างอายุความ 1 ปีมาใช้ต่อผู้รับพินัยกรรมไม่ได้

ย่อยาว

คดีนี้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาโจทก์ฟ้องว่าโจทก์ที่ 2 มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 1 ฟ้องคดีนี้ ที่ดินโฉนดที่ 797 และที่ 892 กับเรือนเลขที่ 249, 250, 251 ซึ่งปลูกอยู่ในโฉนดที่ 797 เป็นของโจทก์ ได้มาโดยนางสมตุ้ย เพ็ญสุติทำพินัยกรรมลงวันที่ 2 มกราคม 2498 ยกให้ นางสมตุ้ยตายเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2508 นับแต่นั้นโจทก์ครอบครองทรัพย์ดังกล่าวตลอดมาจนบัดนี้ และเพิ่งทราบเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2510 ว่านางสมตุ้ยทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้โจทก์ เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2510 และวันที่ 2 เดือนเดียวกัน จำเลยยื่นคำร้องขอรับมรดกที่ดินและเรือนดังกล่าวเจ้าพนักงานหลงเชื่อจัดการโอนให้จำเลย จึงฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนรับมรดกที่ดินและเรือน ห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินและเรือนตามฟ้อง

จำเลยให้การว่า นางสมตุ้ยไม่เคยทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้ผู้ใด เมื่อนางสมตุ้ยตายแล้ว จำเลยฝ่ายเดียวครอบครองที่ดินและเรือนตามฟ้องต่อมาจนกระทั่งยื่นคำร้องขอรับมรดกที่ดินและเรือนก็ไม่มีบุคคลใดคัดค้าน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และตัดฟ้องว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างพิจารณาจำเลยตาย ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นางโตภรรยาเข้ารับมรดกความแทน

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนรับมรดกที่ดินและเรือนตามฟ้อง ห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินและเรือนดังกล่าว

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ข้อที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ที่ 2 ขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา แต่โจทก์ที่ 2 มิได้สาบานตัว จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในการฟ้องคดีนี้โจทก์ที่ 2 มิได้ฟ้องคดีด้วยตนเอง หากแต่มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 1 ฟ้อง โจทก์ที่ 2 เองก็ขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาเช่นกัน ปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 ได้สาบานตัวแล้วว่าโจทก์เป็นบุคคลอนาถา ไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาลได้การสาบานตัวของโจทก์ที่ 1 ถือได้ว่าสาบานตัวแทนโจทก์ที่ 2 ด้วยโจทก์ที่ 2 จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้

ข้อที่จำเลยฎีกาว่า พินัยกรรมที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นพินัยกรรมปลอมนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้วเชื่อว่าก่อนถึงแก่กรรม นางสมตุ้ย เพ็ญสุต ได้ทำพินัยกรรมหมาย จ.1 ยกทรัพย์ให้แก่โจทก์ทั้งสองไว้จริง

ข้อที่จำเลยฎีกาว่า คดีโจทก์ขาดอายุความมรดก 1 ปีแล้วนั้นศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเมื่อนางสมตุ้ย เพ็ญสุต ทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้แก่โจทก์ทั้งสอง จำเลยซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมจึงถูกตัดมิให้รับมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1608 วรรคท้าย จำเลยก็ไม่อยู่ในฐานะเป็นทายาทตามมาตรา 1755 จะอ้างอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 1754 มาใช้ต่อโจทก์ผู้รับพินัยกรรมไม่ได้

ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้วประเด็นอื่นไม่จำต้องวินิจฉัย

พิพากษายืน

Share