แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยได้รับเงินจากการจำหน่ายคูปองบริการให้แก่สมาชิกของโจทก์ร่วม หลายรายการ รวมเป็นเงิน 1,737,032,30 บาท อันเป็นเงินของโจทก์ร่วมไว้ในครอบครองของจำเลยแล้วเบียดบังเอาเงินจำนวนดังกล่าวของโจทก์ร่วมไปเป็นประโยชน์ส่วนตนหรือของบุคคลที่สามโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 352 และให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 1,737,032,30 บาท แก่โจทก์ร่วม โดยไม่ได้บรรยายรายละเอียดการกระทำของจำเลยให้ปรากฏว่าเป็นความผิดหลายกรรม ทั้งตามคำขอท้ายฟ้องก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ต้องการให้ลงโทษจำเลยหลายกรรม ดังนี้แม้จะพิจารณาได้ความว่าจำเลยยักยอกเงินของโจทก์ร่วมหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระกัน ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยเป็นหลายกรรม ศาลจึงไม่อาจลงโทษจำเลยหลายกระทงได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 1,737,032.30 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน รวม 49 กระทง ให้เรียงกระทงลงโทษ จำคุกกระทงละ 1 เดือน รวมจำคุก 49 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 1,737,032.30 บาท แก่โจทก์ร่วม
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยเพียงกระทงเดียว คงจำคุก 1 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 1,147,657.70 บาท แก่โจทก์ร่วม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ร่วมฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยข้อแรกว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยเพียงกระทงเดียวชอบหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องมาในข้อเดียวกันว่า เมื่อระหว่างวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2541 ถึงวันที่ 18 ตุลาคม2543 ต่อเนื่องกันทั้งเวลากลางวันและกลางคืน จำเลยได้รับเงินจากการจำหน่ายคูปองบริการให้แก่สมาชิกของสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว โจทก์ร่วม หลายรายการรวมเป็นเงิน 1,737,032.30 บาท อันเป็นเงินของโจทก์ร่วมไว้ในครอบครองของจำเลย ต่อมาระหว่างวันเวลาดังกล่าวติดต่อกัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด ภายหลังจำเลยได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไว้ในครอบครองแล้ว จำเลยเบียดบังเอาเงินจำนวนนี้ของโจทก์ร่วมไปเป็นประโยชน์ส่วนตนหรือของบุคคลที่สามโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 และให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 1,737,032.30 บาท แก่โจทก์ร่วม จะเห็นได้ว่าตามฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายรายละเอียดการกระทำของจำเลยให้ปรากฏว่าเป็นความผิดหลายกรรม ทั้งตามคำขอท้ายฟ้องก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ต้องการให้ลงโทษจำเลยหลายกรรม ดังนี้ แม้ทางพิจารณาจะได้ความว่าจำเลยยักยอกเงินของโจทก์ร่วมหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระกัน ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยเป็นหลายกรรม ศาลจึงไม่อาจลงโทษจำเลยหลายกระทงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยเพียงกระทงเดียวชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ร่วมข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน