คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1325/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยศาลฎีกา

ย่อสั้น

คู่ความทั้งสองฝ่ายท้ากันให้ไปดื่มน้ำสาบาน โดยโจทก์ทั้งสองกับจำเลยทั้งสี่จะต้องสาบานตัวทุกคนตามที่กำหนด หากเป็นไปดังคำท้าทั้งสองฝ่ายจะแบ่งที่ดิน น.ส. 3 ที่พิพาทกันฝ่ายละกึ่งหนึ่งไม่ติดใจเรียกร้องอะไรกันอีก แต่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่กล้าสาบานหรือสาบานตัวไม่ครบทุกคน ถือว่า ฝ่ายนั้นแพ้คดี ไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องอะไรในที่พิพาทอีก ในวันนัดพร้อมเพื่อไปสาบานตัว โจทก์ทั้งสองและทนายกับจำเลยทั้งสี่และทนายมาศาล จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4แถลงว่าวันที่ตกลงท้ากันตนไม่ได้มาศาลมิได้ยินยอมด้วย ขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป เป็นกระบวนพิจารณาที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 กระทำต่อศาล หาใช่กรณีจำเลยที่ 1 ที่ 2ที่ 4 ตกลงขอยกเลิกคำท้าต่อโจทก์ทั้งสองเปลี่ยนเป็นให้ดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างธรรมดาไม่ การที่ทนายโจทก์แถลงไม่คัดค้านคำแถลงของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ก็เนื่องจากข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 ที่ 2ที่ 4 แถลงเป็นความจริง ไม่มีอะไรจะต้องคัดค้าน ที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคำท้าไม่มีผลบังคับจึงให้ดำเนินกระบวนพิจารณานัดสืบพยานโจทก์ต่อไป ไม่ได้ให้คู่ความปฏิบัติตามคำท้า เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ถูกต้อง การที่ฝ่ายโจทก์ไม่คัดค้านจะถือว่าตกลงยินยอมยกเลิกคำท้ากับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 หาได้ไม่คำท้ายังมีผลผูกพันคู่ความอยู่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าคู่ความยังมิได้ปฏิบัติตามคำท้า สมควรที่จะต้องยกคำพิพากษาและคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป แล้วกำหนดให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้เป็นไปตามคำท้า และพิพากษาคดีไปตามนั้น ที่จำเลยทั้งสี่ฎีกาว่า จำเลยทั้งสี่มิได้คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นไว้ในระยะเวลาอันสมควรจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์และฎีกานั้นเมื่อจำเลยทั้งสี่มิได้ยกขึ้นกล่าวอ้างไว้ในคำแก้อุทธรณ์ถือได้ว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นอุทธรณ์

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกับนายสุรพลและนางเปล่งศรีทำพินัยกรรมฝ่ายเมืองของนายบุญตาขึ้น ระบุให้ทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมตกเป็นของจำเลยทั้งสี่ ซึ่งมิใช่ทายาทโดยอาศัยโอกาสที่นายบุญตาอยู่ในภาวะขาดสติสัมปชัญญะอันเป็นการกระทำฉ้อฉลต่อโจทก์ ขอให้เพิกถอนพินัยกรรมฝ่ายเมืองของนายบุญตาและให้โจทก์ทั้งสองมีกรรมสิทธิ์โดยชอบในที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 4ตำบล (หนองไผ่) นิเวศน์ อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ดและที่ดินปลูกบ้านตามแผนที่ท้ายฟ้องร่วมกับทายาทโดยธรรมของนายบุญตา ผู้ตายโดยทางมรดก ห้ามจำเลยทั้งสี่และบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า พินัยกรรมที่นายบุญตาทำขึ้นมีผลสมบูรณ์และชอบด้วยกฎหมายทุกประการ เพราะการทำพินัยกรรมเป็นเจตนารมณ์ของนายบุญตาผู้ตาย ขณะทำพินัยกรรม นายบุญตามีสติสัมปชัญญะดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ขณะทำพินัยกรรม นายบุญตามีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ พินัยกรรมพิพาทจึงสมบูรณ์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้เพิกถอนพินัยกรรมฝ่ายเมืองของนายบุญตา ให้ที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 4 ตำบล(หนองไผ่) นิเวศน์อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นของโจทก์ทั้งสองห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ลงวันที่ 15 มิถุนายน 2530 โจทก์ทั้งสองและทนายจำเลยที่ 3 และทนายของจำเลยทั้งสี่ได้ตกลงกันสละประเด็นข้อพิพาททั้งหมด โดยท้ากันให้ทั้งสองฝ่ายไปดื่มน้ำสาบานต่อหน้าพระสังกระจายที่วัดสระทอง ฝ่ายโจทก์จะสาบานว่าขณะทำพินัยกรรมนายบุญตาไม่มีสติสัมปชัญญะแล้ว และการที่ฝ่ายโจทก์นำคดีมาฟ้องไม่ได้มีเจตนาที่จะโกงจำเลยทั้งสี่แต่อย่างใด ฝ่ายจำเลยทั้งสี่จะสาบานว่าการทำพินัยกรรมของนายบุญตานี้ จำเลยทั้งสี่ไม่ได้ฉ้อโกงโจทก์ทั้งสอง เมื่อคู่ความทั้งสองฝ่ายสาบานตัวทุกคนและดื่มน้ำสาบานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยจะแบ่งที่ดินตาม น.ส. 3 ที่พิพาทกันฝ่ายละกึ่งหนึ่ง ไม่ติดใจเรียกร้องอะไรกันอีก แต่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่กล้าสาบานตัวหรือสาบานตัวไม่ครบทุกคน ถือว่า ฝ่ายนั้นแพ้คดีไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องอะไรในที่พิพาทอีก สำหรับที่ดินปลูกบ้านตามคำขอท้ายฟ้องและที่ปรากฏอยู่ในพินัยกรรมด้วยนั้น โจทก์ทั้งสองไม่ติดใจที่จะเรียกร้อง คงติดใจเฉพาะแบ่งปันที่ดินกันตามน.ส.3 ข้างต้น เท่านั้น ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ดำเนินกระบวนพิจารณาไปตามคำท้า โดยนัดให้ไปสาบานตัวกันวันที่ 16 มิถุนายน 2530 เวลา8.30 นาฬิกา ถึงวันนัดโจทก์ทั้งสองและทนาย จำเลยทั้งสี่และทนายมาศาลจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 แถลงว่าในวันที่ตกลงท้ากัน ตนไม่ได้มาศาลการที่จำเลยที่ 3 และทนายของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ได้แถลงต่อศาลจะไปขอสาบานตัวนั้น ตนมิได้ยินยอมด้วย ขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปทนายโจทก์ไม่ค้าน ศาลชั้นต้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 และจำเลยที่ 4 ไม่มาศาล ในวันที่ท้ากันและมาแถลงศาลวันนี้ว่าไม่ยินยอมตกลงด้วย คำท้าจึงไม่มีผลบังคับเห็นสมควรให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ให้นัดสืบพยานโจทก์ วันที่ 18มิถุนายน 2530 ทนายโจทก์ยื่นคำร้องว่าคำท้า-ของคู่ความมีผลผูกพันคู่ความ เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ไม่ปฏิบัติตามคำท้าจำเลยทั้งสี่ต้องแพ้คดี แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้สืบพยานโจทก์ต่อไปไม่พิพากษาตามคำท้าไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ขอให้เพิกถอนคำสั่งแล้วพิพากษาคดีไปตามคำท้า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าศาลมีคำสั่งตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 16 มิถุนายน 2530 เป็นการชอบแล้วไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสี่อ้างว่าตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 16 มิถุนายน 2530 จำเลยที่ 1 ที่ 2ที่ 4 ได้แถลงต่อศาลว่าเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2530 ตนไม่ได้มาศาลจำเลยที่ 3 และทนายจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ได้แถลงต่อศาลว่าจะไปขอสาบานตัวนั้น ตนมิได้ยินยอมด้วยตามคำสาบาน ขอให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ศาลได้สอบถามทนายโจทก์ทั้งสองแล้วว่าจะคัดค้านหรือไม่ ซึ่งทนายโจทก์ทั้งสองก็ไม่คัดค้านในการที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ขอให้พิจารณาต่อไปโดยยกเลิกคำท้าเสียย่อมถือได้ว่าโจทก์ทั้งสองยินยอมให้ยกเลิกคำท้าโดยให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ข้อตกลงตามคำท้าย่อมหมดลงไปในตัว กระบวนพิจารณาที่ศาลชั้นต้นดำเนินต่อไป จึงชอบด้วยวิธีพิจารณาความแพ่งเห็นว่าคำแถลงของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 16 มิถุนายน 2530 ว่าตนมิได้ยินยอมด้วยในการท้า ขอให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปนั้นเป็นแต่เพียงจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ยกข้อเท็จจริงขึ้นอ้างว่าตนไม่ได้มาศาลในวันที่จำเลยที่ 3 และทนายของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 แถลงต่อศาลว่าจะไปขอสาบานตัว ทั้งไม่ได้ยินยอมด้วยตามคำสาบานจึงขอให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป มีผลเสมือนจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4ทักท้วงต่อศาลชั้นต้น ในข้อกฎหมายว่า คำท้า-ไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป อันเป็นกระบวนพิจารณาที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 กระทำต่อศาลหาใช่กรณีจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ตกลงขอยกเลิกคำท้าตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 15 มิถุนายน 2530 ต่อโจทก์ทั้งสองเปลี่ยนเป็นให้ดำเนินกระบวนพิจารณากันอย่างธรรมดาต่อไปไม่ การที่ทนายโจทก์ทั้งสองไม่แถลงคัดค้านคำแถลงของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ก็เนื่องจากเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 แถลง นั้น เป็นความจริงไม่มีอะไรจะต้องคัดค้าน ส่วนการที่ศาลชั้นต้นจะสั่งงดการดำเนินกระบวนพิจารณาตามคำท้าโดยให้ดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างธรรมดาต่อไปตามคำขอของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 หรือไม่เป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้นที่จะต้องดำเนินการตามกฎหมาย โจทก์ทั้งสองไม่จำเป็นต้องคัดค้านอะไร หากศาลชั้นต้นสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ทั้งสองก็มีสิทธิโต้แย้งและอุทธรณ์คัดค้านได้ ดังนี้ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสองได้ตกลงยินยอมยกเลิกคำท้ากับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4แล้ว คำท้าของฝ่ายจำเลยจึงยังมีผลผูกพันคู่ความอยู่
ที่จำเลยทั้งสี่ฎีกาว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกเลิกคำท้าและให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่16 มิถุนายน 2530 เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยทั้งสี่มิได้คัดค้านไว้ในระยะเวลาอันสมควร เพิ่งจะคัดค้านเมื่อวันที่22 มิถุนายน 2530 จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์และฎีกานั้น เห็นว่าจำเลยทั้งสี่มิได้ยกขึ้นกล่าวอ้างไว้ในคำแก้อุทธรณ์ ถือได้ว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นอุทธรณ์
ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในข้อต่อไปมีว่า ฝ่ายจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำท้าอันเป็นเหตุที่จะต้องแพ้คดีตามคำท้าแล้วหรือไม่ เห็นว่าตามคำท้าได้กำหนดเงื่อนไขไว้ว่า คู่ความทั้งสองฝ่ายจะไปดื่มน้ำสาบานต่อหน้าพระสังกระจาย ที่วัดสระทอง ฝ่ายโจทก์จะสาบานว่าขณะทำพินัยกรรมนายบุญตาไม่มีสติสัมปชัญญะแล้ว และการที่ฝ่ายโจทก์นำคดีมาฟ้องไม่ได้มีเจตนาที่จะโกงจำเลยทั้งสี่แต่อย่างใดฝ่ายจำเลยทั้งสี่จะสาบานว่าการทำพินัยกรรมของนายบุญตานี้จำเลยทั้งสี่ไม่ได้ฉ้อโกงโจทก์ทั้งสอง หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่กล้าสาบานหรือสาบานไม่ครบทุกคน ถือว่าฝ่ายนั้นแพ้คดีไม่มีสิทธิเรียกร้องอะไรในที่ดินพิพาท ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในวันนัดพร้อมเพื่อไปสาบานตัวนั้นโจทก์ทั้งสอง จำเลยทั้งสี่และทนายทั้งสองฝ่ายมาศาลจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ได้แถลงต่อศาลชั้นต้นว่า เมื่อวานนี้ตนไม่ได้มาศาล จำเลยที่ 3 และทนายของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ได้แถลงต่อศาลจะไปขอสาบานตัวนั้น ตนมิได้ยินยอมด้วยตามคำสาบาน ขอให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งว่าคำท้าดังกล่าวไม่มีผลบังคับ จึงให้ดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยต่อมา แล้วพิพากษาคดีไปตามประเด็นข้อพิพาทเดิม ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า ฝ่ายโจทก์ได้ไปดื่มน้ำสาบานต่อหน้าพระสังกระจายที่วัดสระทอง และกล่าวคำสาบานตามคำท้าแล้ว และฝ่ายจำเลยทั้งสี่ไม่ยอมดื่มน้ำสาบานต่อหน้าพระสังกระจาย ที่วัดสระทอง และไม่กล้ากล่าวคำสาบานตามคำท้าแต่อย่างใด เหตุที่คู่ความยังมิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในคำท้านั้นก็เนื่องจากศาลชั้นต้นเห็นด้วยกับข้อกฎหมายที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ยกขึ้นทักท้วงแล้วได้มีคำสั่งว่าคำท้าดังกล่าวไม่มีผลบังคับกับสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยต่อมาอันมีผลเท่ากับศาลชั้นต้นสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่จะให้คู่ความปฏิบัติตามคำท้านั้นเอง หาใช่ฝ่ายโจทก์ได้ปฏิบัติตามคำท้าแล้วแต่ฝ่ายจำเลยผิดเงื่อนไขตามคำท้าอันเป็นเหตุที่จะต้องแพ้คดีตามคำท้าไม่ แต่เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ถูกต้อง และคู่ความยังมิได้ปฏิบัติตามคำท้า สมควรที่จะต้องยกคำพิพากษาและคำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ 16 มิถุนายน 2530 นั้นเสียแล้วกำหนดให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้เป็นไปตามคำท้าและพิพากษาคดีไปตามนั้น
พิพากษาให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ 16 มิถุนายน 2530 และคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองเสีย ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้เป็นไปตามคำท้าและพิพากษาคดีไปตามนั้น

Share