คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13215/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อจำเลยผิดสัญญาไม่ชำระเงินค่าที่ดินที่ค้างชำระและไม่ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินภายในกำหนดโจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลย สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจึงเป็นอันเลิกกัน การที่กรรมการโจทก์มีหนังสือแจ้ง น. ภายหลังจากที่โจทก์บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยแล้วมีใจความว่า ตามที่ น. แจ้งความประสงค์จะซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 485/10 โฉนดที่ดินเลขที่ 424 ตำบลคลองถนน อำเภอสายไหม กรุงเทพมหานคร ในโครงการสะพานใหม่วิลล์นั้น โจทก์ตกลงจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่ น. ในราคา 1,040,000 บาท หาก น. พร้อมที่จะรับโอนกรรมสิทธิ์ได้ภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2548 เท่านั้น หนังสือดังกล่าวถือได้ว่าเป็นคำสนองรับคำเสนอของ น. แต่เป็นคำสนองที่มีข้อความเพิ่มเติม มีข้อจำกัดหรือมีข้อแก้ไขอย่างอื่นประกอบด้วย ถือว่าเป็นคำบอกปัดไม่รับคำเสนอบางส่วนของ น. ทั้งเป็นคำเสนอขึ้นใหม่ด้วยในตัวตาม ป.พ.พ. มาตรา 359 วรรคสอง น. ไม่สนองรับคำเสนอดังกล่าวโดยการรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างภายในระยะเวลาที่โจทก์กำหนด คำเสนอของโจทก์ย่อมสิ้นผลไป ไม่ก่อให้เกิดข้อตกลงหรือสัญญาระหว่างโจทก์กับ น. กรณีมิใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ หนี้ระหว่างโจทก์และจำเลยไม่ระงับไปด้วยการแปลงหนี้ใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับขับไล่จำเลยพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 424 ตำบลคลองถนน อำเภอสายไหม กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 485/10 หมู่ที่ 4 แขวงคลองถนน เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร และชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 85,000 บาท กับเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2548 จนกว่าจะออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยพร้อมบริวารออกไปจากบ้านเลขที่ 485/10 ดังกล่าว และชำระค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 76,500 บาท กับเดือนละ 4,500 บาท นับแต่เดือนตุลาคม 2548 จนกว่าจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ และให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้ฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2539 นางอัจฉราทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในโครงการสะพานใหม่วิลล์จากโจทก์ในราคา 1,195,000 บาท เมื่อปี 2542 โจทก์ดำเนินการแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 424 ตำบลคลองถนน อำเภอสายไหม กรุงเทพมหานคร และส่งมอบที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง บ้านเลขที่ 485/10 หมู่ที่ 4 แขวงคลองถนน เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร ให้แก่นางอัจฉราซึ่งขณะนั้นเปลี่ยนชื่อเป็นนางนีรนาท เข้าครอบครองตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2542 นางอัจฉราหรือนีรนาทชำระเงินจองและเงินดาวน์ครบถ้วนแล้ว คงเหลือเงินที่จะต้องชำระให้แก่โจทก์ในวันโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 970,000 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2545 จำเลยรับโอนสิทธิตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากนางนีรนาท โดยจำเลยตกลงที่จะปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามที่โจทก์ทำไว้กับนางนีรนาท เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2547 และวันที่ 20 กรกฎาคม 2547 โจทก์แจ้งให้จำเลยรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและชำระราคาที่เหลือจำนวน 970,000 บาท แต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์มีหนังสือให้จำเลยนำเงินมาชำระและรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวภายใน 30 วันนับแต่วันได้รับหนังสือ แต่จำเลยเพิกเฉย เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2547 โจทก์มอบหมายให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและริบเงินที่ชำระแล้วทั้งหมด กับให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวภายใน 15 วัน จำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2547เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2548 จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายบ้านพร้อมที่ดินให้แก่นายนิยม และในวันเดียวกันนายไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการของโจทก์มีหนังสือแจ้งนายนิยมว่า โจทก์ตกลงจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่นายนิยมในราคา 1,040,000 บาท หากนายนิยมพร้อมที่จะรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างได้ภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2548 เท่านั้น ต่อมาวันที่ 23 มิถุนายน 2548 โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินอีกครั้ง แต่ไม่สามารถส่งหนังสือให้แก่จำเลยได้
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยหรือไม่ เห็นว่า เมื่อจำเลยผิดสัญญาไม่ชำระเงินค่าที่ดินที่ค้างชำระและไม่ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินภายในกำหนด ซึ่งโจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยโดยชอบแล้ว สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินระหว่างโจทก์และจำเลยจึงเป็นอันเลิกกัน การที่นายไพบูลย์กรรมการของโจทก์มีหนังสือแจ้งต่อนายนิยมภายหลังจากที่โจทก์บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยแล้วมีใจความว่า ตามที่นายนิยมแจ้งความประสงค์จะซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 485/10 โฉนดที่ดินเลขที่ 424 ตำบลคลองถนน อำเภอสายไหม กรุงเทพมหานคร ในโครงการสะพานใหม่วิลล์ นั้น โจทก์ตกลงจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่นายนิยมในราคา 1,040,000 บาท หากนายนิยมพร้อมที่จะรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างได้ภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2548 เท่านั้น หนังสือของนายไพบูลย์ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นคำสนองรับคำเสนอของนายนิยม แต่ก็เป็นคำสนองรับที่มีข้อความเพิ่มเติม มีข้อจำกัดหรือมีข้อแก้ไขอย่างอื่นประกอบด้วย ถือว่าเป็นคำบอกปัดไม่รับคำเสนอบางส่วนของนายนิยม ทั้งเป็นคำเสนอขึ้นใหม่ด้วยในตัวตามที่บัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 359 วรรคสอง ซึ่งนายนิยมต้องปฏิบัติตามคำเสนอของโจทก์ดังกล่าวโดยต้องรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2548 เมื่อปรากฏว่านายนิยมเพิ่งได้รับอนุมัติให้กู้เงินเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2548 แสดงว่า นายนิยมมิได้สนองรับคำเสนอดังกล่าวโดยการรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างภายในระยะเวลาที่โจทก์กำหนดไว้ คำเสนอของโจทก์ย่อมสิ้นผลไป ไม่ก่อให้เกิดเป็นข้อตกลงหรือสัญญาระหว่างโจทก์และนายนิยม กรณีมิใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ หนี้ระหว่างโจทก์และจำเลยไม่ระงับไปด้วยการแปลงหนี้ใหม่ตามข้อต่อสู้ของจำเลย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share