คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13211/2558

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาแล้วว่า ส. เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ให้ขับไล่ ช. ผู้บุกรุกออกไป กระบวนการบังคับคดีก็ต้องดำเนินไปตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการบังคับคดี ไม่มีกฎหมายรับรองให้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดีดังกล่าวมีอำนาจมาฟ้องคดีนี้ (โดยมิได้มีคำขอในคดีนี้ ให้ศาลแสดงว่าตนมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่า ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคสอง (2)) เพื่อขอให้ทบทวนคำพิพากษาศาลฎีกา และห้ามการบังคับในคดีที่ตนเป็นเพียงบุคคลภายนอก โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง แต่ในชั้นฎีกาโจทก์กลับอ้างในทำนองว่า ทรัพย์พิพาทไม่ได้เป็นของโจทก์ และจำเลยหรือคู่ความในคดี แต่ทรัพย์พิพาทเป็นของบุคคลภายนอก คือโจทก์ในคดีนี้ โจทก์จึงใช้สิทธิร้องสอด ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (1) ศาลชั้นต้นต้องทำการพิจารณาคดีใหม่ โดยโจทก์มิได้โต้แย้งว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยไม่ถูกต้องอย่างไร ที่ถูกควรวินิจฉัยเช่นใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า นางสุดาไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทที่จะฟ้องขับไล่นายชาญชัยในคดีก่อนได้ นางสุดาและทายาทไม่มีสิทธิบังคับคดี ห้ามจำเลยหรือทายาทอื่นของนางสุดาบังคับคดีจนกว่าศาลคดีนี้จะรับรองสิทธิของนางสุดา
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 25,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนจำเลย 3,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาแล้วว่า นางสุดาเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ให้ขับไล่นายชาญชัยผู้บุกรุกออกไป กระบวนการบังคับคดีก็ต้องดำเนินไปตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการบังคับคดี ไม่มีกฎหมายรับรองให้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดีดังกล่าวมีอำนาจมาฟ้องคดีนี้ (โดยมิได้มีคำขอในคดีนี้ ให้ศาลแสดงว่าตนมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคสอง (2)) เพื่อขอให้ทบทวนคำพิพากษาศาลฎีกา และห้ามการบังคับในคดีที่ตนเป็นเพียงบุคคลภายนอก โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง แต่ในชั้นฎีกาโจทก์กลับอ้างในทำนองว่า ทรัพย์พิพาทไม่ได้เป็นของโจทก์และจำเลยหรือคู่ความในคดี แต่ทรัพย์พิพาทเป็นของบุคคลภายนอก คือโจทก์ในคดีนี้ โจทก์จึงใช้สิทธิร้องสอด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) ศาลชั้นต้นต้องทำการพิจารณาคดีใหม่ โดยโจทก์มิได้โต้แย้งว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยไม่ถูกต้องอย่างไร ที่ถูกควรวินิจฉัยเช่นใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกา
ไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share