แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์ด้วยการใส่ความทำหนังสือร้องเรียนกล่าวหาโจทก์ แล้วส่งไปโฆษณาตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์จำเลยให้การว่า จำเลยได้ร้องเรียนจริงโดยส่งคำร้องเรียนไปลงหนังสือพิมพ์ด้วยความสุจริตเพื่อความชอบธรรมป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับจำเลยตามคลองธรรมและเพื่อประโยชน์แก่ประชาชน ข้อความที่ร้องเรียนเป็นความจริงขอพิสูจน์ความจริง ดังนี้เท่ากับจำเลยต่อสู้ว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิด และเพื่อมิให้จำเลยต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 329(1) และมาตรา 330 แห่งประมวลกฎหมายอาญาเป็นคำให้การปฏิเสธ
เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธความผิด ศาลจะต้องฟังข้อเท็จจริงจากการนำสืบของโจทก์ จำเลยเสียก่อนจึงจะวินิจฉัยชี้ขาดคดีได้การที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานของโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยชี้ขาดว่าจำเลยกระทำความผิดไปทีเดียว จึงเป็นการที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยบังอาจหมิ่นประมาทด้วยการใส่ความโจทก์โดยทำหนังสือร้องเรียนต่ออธิบดีกรมตำรวจกล่าวหาว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีส่วนได้เสียกับบุคคลอื่นจัดให้มีการเล่นการพนัน ฯลฯ ซึ่งเป็นความเท็จ แล้วส่งหนังสือนั้นไปลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วสั่งคดีมีมูล
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ร้องเรียนต่ออธิบดีกรมตำรวจ แล้วส่งไปลงหนังสือพิมพ์ตามข้อความในคำฟ้องจริง แต่ข้อความที่ร้องเรียนเป็นความจริง จำเลยร้องเรียนโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรมป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับจำเลยตามคลองธรรมและเพื่อประโยชน์ส่วนรวมแก่ประชาชน จำเลยขอพิสูจน์ว่า ตามที่จำเลยร้องเรียนต่ออธิบดีกรมตำรวจนั้นเป็นความจริง ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 ให้ลงโทษตามมาตรา 328ซึ่งเป็นบทหนัก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ปรับ 400 บาทคำขออื่นยก โดยวินิจฉัยว่า การที่จำเลยได้โฆษณาข้อความตามฟ้องลงในหนังสือพิมพ์เสียงราษฎร์ เป็นการส่อเจตนาหมิ่นประมาทโจทก์เพื่อให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชังโดยตรง หาใช่เป็นความชอบธรรมของจำเลยที่จำเลยจะพึงกระทำไม่ จำเลยจึงมีความผิดฐานหมิ่นประมาท แต่การที่จำเลยจะขอพิสูจน์ความจริงนั้นหาเป็นประโยชน์แก่ประชาชนไม่
จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยไม่ควรมีความผิด เพราะกระทำไปโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 และการที่จำเลยโฆษณาหนังสือพิมพ์ ไม่ใช่เป็นการส่วนตัว แต่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนจำเลยจึงพิสูจน์ความจริงได้ ขอให้ยกฟ้อง หรือให้จำเลยพิสูจน์ความจริง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่หาว่าโจทก์เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ความคุ้มกันไม่จับกุมผู้เล่นการพนันโปปั่น และมีส่วนได้ค่าต๋งจากผู้จัดการเล่น มิใช่เป็นการใส่ความในเรื่องส่วนตัวและการพิสูจน์ความจริงย่อมเป็นประโยชน์แก่ประชาชน พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไปแล้วพิพากษาใหม่
โจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยนำข้อความไปโฆษณาตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ เป็นการส่อเจตนาหมิ่นประมาทโจทก์ หาใช่ความชอบธรรมที่จำเลยจะพึงกระทำและไม่เป็นประโยชน์ที่ประชาชนอื่น ๆ จะพึงได้รับ ขอให้ลงโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า จำเลยได้ร้องเรียนจริงโดยส่งคำร้องเรียนไปลงหนังสือพิมพ์ด้วยความสุจริตเพื่อความชอบธรรมป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับจำเลยตามคลองธรรมและเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนข้อความที่ร้องเรียนเป็นความจริงซึ่งเป็นข้อต่อสู้ว่า จำเลยไม่ได้กระทำผิดและเพื่อมิให้จำเลยต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(1) และมาตรา 330 เท่ากับจำเลยให้การปฏิเสธว่ามิได้กระทำความผิดตามฟ้องโจทก์ ศาลจะต้องฟังข้อเท็จจริงจากการนำสืบของโจทก์จำเลยเสียก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 แล้วจึงจะวินิจฉัยชี้ขาดได้ว่า จำเลยกระทำผิดจริงหรือไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาใหม่ชอบแล้ว
พิพากษายืน