แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่หญิงมีสามีได้กระทำกิจการค้าด้วยความรู้เห็นของสามีนั้น ย่อมถือได้ว่าสามีได้อนุญาตแล้วโดยปริยาย ฉะนั้นหญิงมีสามี จึงฟ้องคดีในฐานะเป็นผู้จัดการห้างหุ้นส่วนได้ หาจำต้องได้รับอนุญาตจากสามีอีกไม่
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล นางนิพันธ์ พานิชสมบัติ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการเป็นผู้มีอำนาจทำการใด ๆ แทนห้างโดยเซ็นชื่อและประทับตราสำคัญของห้าง โจทก์อาชีพขายทรายและหินต่าง ๆ จำเลยทั้งสองได้ติดต่อค้าขายกับโจทก์โดยจำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๒ ได้ซื้อหินและทรายไปจากโจทก์หลายคราวแล้วไม่ชำระเงิน โจทก์ได้ทวงถามแล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย จึงฟ้องขอให้ใช้เงินที่ค้างชำระพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โดยโจทก์เป็นหญิงมีสามีและไม่ได้รับอนุญาตจากสามีให้ฟ้อง จำเลยปฏิเสธความรับผิดทั้งสิ้น โดยอ้างว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ใช่ตัวแทนและไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ไม่เคยติดต่อซื้อทรายหรือหินจากโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า นางนิพันธ์มีอำนาจฟ้องคดีได้ และจำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๒ พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ ๑ และให้จำเลยที่ ๒ ชำระหนี้ที่ค้างพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
มีประเด็นข้อกฎหมายว่านางนิพันธ์มีอำนาจฟ้องหรือไม่
สำหรับประเด็นข้อนี้ ศาลฎีกาเห็นว่านางนิพันธ์ได้ฟ้องคดีนี้ในฐานะเป็นผู้จัดการห้างหุ้นส่วนโจทก์ แม้คดีจะฟังว่านางนิพันธ์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ซึ่งได้จดทะเบียนไว้หลายปีแล้ว เมื่อจำเลยไม่มีพยานสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น ทั้งไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดทักท้วงคัดค้านแต่ประการใดตลอดเวลามาเช่นนี้ คดีฟังได้ว่านางนิพันธ์ได้ทำกิจการค้าขายเช่นนั้นด้วยความรู้เห็นของสามี จึงถือว่าสามีได้อนุญาตแล้วโดยปริยาย นางนิพันธ์ย่อมทำนิติกรรมและอรรถคดีภายในขอบอำนาจแห่งกิจการนั้นได้ หาจำต้องมีอนุญาตของสามีอีกไม่ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๑ พิพากษายืน