คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1316/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน ผู้ตายซึ่งมีรูปร่างใหญ่โตกว่าจำเลยถือก้อนหินขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว 2 นิ้วฟุตเศษ หนาราว 1 นิ้วฟุตวิ่งไล่ทำร้ายจำเลย ทำให้ริมฝีปากบนของจำเลยแตกทั้งด้านนอกและด้านในโลหิตไหล ฟันบนหัก 2 ซี่ จนหินกระเด็นหลุดจากมือผู้ตาย แล้วผู้ตายยังได้ชกจำเลยอีกหลายทีติด ๆ กัน จำเลยจึงชักเหล็กขูดชาร์ฟจากเอวแทงผู้ตายไปหลายที ถือได้ว่าจำเลยไม่มีโอกาสที่จะเลือกแทงผู้ตายให้ถูกในที่สำคัญได้ นอกจากกระทำไปเพื่อหยุดยั้งการกระทำของผู้ตายเท่านั้นฉะนั้นการกระทำของจำเลยตามพฤติการณ์ดังกล่าวย่อมถือได้ว่าเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้เหล็กขูดชาร์ฟแทงนายเป รักร่วม ตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 และริบเหล็กขูดชาร์ฟของกลาง

จำเลยให้การรับว่าได้ทำร้ายผู้ตายจริง แต่เป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ

ศาลชั้นต้นเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการกระทำของจำเลยเกินกว่ากรณีแห่งความจำเป็นและเกินสมควรแก่เหตุ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 68, 69 จำคุก2 ปี ริบเหล็กขูดชาร์ฟ

จำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ตายซึ่งมีรูปร่างใหญ่โตกว่าจำเลย ถือก้อนหินขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว 2 นิ้วฟุตเศษ หนาราว 1 นิ้วฟุตวิ่งไล่ทำร้ายจำเลยถึงกับริมฝีปากบนของจำเลยแตกทั้งด้านนอกและด้านใน โลหิตไหล ฟันบนหัก 2 ซี่ จนหินกระเด็นหลุดจากมือผู้ตาย ขณะที่จำเลยรู้สึกเจ็บบาดแผลหน้ามืดอยู่นั้น ผู้ตายได้ชกจำเลยอีกหลายทีติด ๆ กัน ทั้งในขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน การที่จำเลยชักเหล็กขูดชาร์ฟจากเอวแทงผู้ตายไปหลายที(ถูกหน้าอกราวนม ชายโครง แขนซ้าย และรอยขีดหนังขาดบริเวณหน้าอก2 แห่ง) ในขณะถูกทำร้ายติดพันกันดังกล่าว จำเลยย่อมไม่มีโอกาสที่จะเลือกแทงผู้ตายให้ถูกในที่สำคัญได้ นอกจากจะกระทำไปเพื่อหยุดยั้งการกระทำของผู้ตายเท่านั้น ฉะนั้นตามพฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลย จึงเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ

พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

Share