คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13143/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องไว้ชัดเจนว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีน 394 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาได้ความว่าเมทแอมเฟตามีนของกลาง 1 เม็ด พบอยู่ในกล่องสีน้ำตาลพร้อมอุปกรณ์การเสพวางอยู่ใต้เบาะที่นั่งคนขับรถกระบะ และเมทแอมเฟตามีนของกลางอีก 1 เม็ด พบอยู่ในซองบุหรี่ในกระเป๋าเสื้อของจำเลยที่ 2 ซึ่งมีลักษณะการเก็บและครอบครองแยกต่างหากจากเมทแอมเฟตามีนของกลาง 392 เม็ด ซึ่งพบอยู่ในถุงพลาสติกสีน้ำเงินใส่อยู่ในกระเป๋าผ้าที่วางอยู่ท้ายกระบะรถ ซึ่งเฉลี่ยคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 3.4205 กรัม จึงเป็นคนละจำนวนกัน อันเป็นความผิดฐานมีไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกกระทงหนึ่ง ศาลล่างทั้งสองจึงไม่มีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนของกลางทั้งสองเม็ดดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เพราะเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองในส่วนนี้จึงไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 3 และที่ 4 ที่มิได้ฎีกาได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 57, 66, 91, 100/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91 ริบของกลาง
จำเลยที่ 1 และที่ 4 ให้การรับสารภาพข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีน ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีนและมีเมทแอมเฟตามีน 1 เม็ด ไว้ในครอบครอง ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 57, 66 วรรคสอง, 91 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 10 ปี และปรับคนละ 1,000,000 บาท ฐานร่วมกันเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุกคนละ 6 เดือน รวมจำคุกคนละ 10 ปี 6 เดือน และปรับคนละ 1,000,000 บาท จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 5 ปี 3 เดือน และปรับ 500,000 บาท หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โดยให้กักขังเป็นระยะเวลาเกินกว่าหนึ่งปีแต่ไม่เกินสองปี ริบของกลาง
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานร่วมกันเสพเมทแอมเฟตามีนจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 คนละ 3 เดือน รวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 คนละ 10 ปี 3 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังว่า เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสี่และยึดเมทแอมเฟตามีน 394 เม็ด อุปกรณ์การเสพ และถุงพลาสติกใสเป็นของกลาง ผู้ตรวจพิสูจน์ประจำวิทยาการเขต 45 ตรวจพิสูจน์เมทแอมเฟตามีนของกลางแล้ว คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 3.438 กรัม จำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่ได้ฎีกา คดียุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพในความผิดฐานร่วมกันเสพเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาต ความผิดในฐานดังกล่าวยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 หรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะให้การปฏิเสธทั้งในชั้นจับกุมและในชั้นสอบสวนว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเมทแอมเฟตามีนของกลาง 392 เม็ด ก็ตาม แต่พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์กระบะโดยมีจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 และที่ 4 นั่งไปด้วยแล้วถูกพันตำรวจตรีมานพและดาบตำรวจพิสุทธิ์กับพวกตรวจค้นและจับกุมโดยยึดเมทแอมเฟตามีนจำนวนมากเป็นของกลางพร้อมกับอุปกรณ์การเสพและเงินจำนวนมากถึง 100,000 บาท เช่นนี้บ่งชี้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมรู้เห็นกับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ในการมีเมทแอมเฟตามีนของกลาง 392 เม็ด ไว้ในครอบครอง หากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ในการกระทำความผิดแล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องร่วมเดินทางไปด้วยกันจนกระทั่งถูกเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นและจับกุมซึ่งโดยปกติทั่วไปแล้วผู้กระทำความผิดย่อมต้องปกปิดการกระทำของตนเป็นความลับและไม่นำบุคคลอื่นไปร่วมรู้เห็นการกระทำความผิดของตนด้วย แม้ว่าพันตำรวจตรีมานพและดาบตำรวจพิสุทธิ์จะเบิกความแตกต่างกันเกี่ยวกับสายลับที่ว่าพันตำรวจตรีมานพรู้จักและเคยพบกับสายลับหรือไม่ดังที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้างในฎีกาก็ตาม แต่ข้อแตกต่างดังกล่าวไม่ใช่สาระสำคัญเพราะสาระสำคัญอยู่ที่ข้อมูลที่ได้รับจากสายลับซึ่งนำไปสู่การตรวจค้นรถยนต์กระบะของจำเลยที่ 1 กับพวกที่แล่นผ่านมาและตรวจยึดได้เมทแอมเฟตามีนเป็นของกลาง คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองไม่ได้ลดน้ำหนักลงจนขาดความน่าเชื่อถือ และแม้พยานโจทก์ทั้งสองจะเป็นเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งต้องสร้างผลงานในการปฏิบัติหน้าที่ก็ตาม แต่มิได้หมายความว่าจะต้องกลั่นแกล้งปรักปรำจับกุมผู้บริสุทธิ์โดยปราศจากมูลความผิด และไม่ปรากฏว่ามีข้อพิรุธที่จะบ่งชี้ว่าพยานโจทก์ทั้งสองกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลยที่ 2 ให้ต้องรับโทษดังที่จำเลยที่ 2 กล่าวอ้างในฎีกา ฎีกาอื่นของจำเลยที่ 1 และที่ 2 นอกจากนี้ไม่เป็นสาระควรแก่การวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ อย่างไรก็ตาม คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องไว้ชัดเจนว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีน 394 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาได้ความว่าเมทแอมเฟตามีนของกลาง 1 เม็ด ซึ่งพบอยู่ในกล่องสีน้ำตาลพร้อมอุปกรณ์การเสพวางอยู่ใต้เบาะที่นั่งคนขับ และเมทแอมเฟตามีนของกลาง 1 เม็ด ซึ่งพบอยู่ในซองบุหรี่ในกระเป๋าเสื้อของจำเลยที่ 2 มีลักษณะการเก็บและครอบครองแยกต่างหากจากเมทแอมเฟตามีนของกลาง 392 เม็ด ซึ่งพบอยู่ในถุงพลาสติกสีน้ำเงินใส่อยู่ในกระเป๋าผ้าที่วางอยู่ท้ายกระบะรถ ซึ่งเฉลี่ยคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 3.4205 กรัม จึงเป็นคนละจำนวนกัน ซึ่งเป็นความผิดฐานมีไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกกระทงหนึ่งศาลล่างทั้งสองจึงไม่มีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนของกลางทั้งสองเม็ดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต เพราะเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองในส่วนนี้จึงไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และเป็นเหตุอยู่ในส่วนในลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 3 และที่ 4 ที่มิได้ฎีกาได้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีน 392 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต สำหรับโทษและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9

Share