คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1313/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลพิพากษาว่าเป็นโมฆะแล้วนั้น มีผลเท่ากับสัญญาไม่มีผลมาตั้งแต่ต้น ดังนั้น แม้จำเลยทั้งสองจะร่วมกันเติมข้อความลงในช่องว่างที่เว้นไว้ในสัญญาผิดไปจากข้อตกลงและเบิกความยืนยันข้อความนั้นต่อศาลก็ไม่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแต่ประการใดโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยฐานปลอมเอกสารและเบิกความเท็จ
การที่จำเลยเบิกความเท็จต่อศาลว่า เจ้ามรดกกู้เงินผู้อื่นและจำเลยเป็นผู้ชำระเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยแทนเจ้ามรดกนั้นหาใช่เป็นข้อสาระสำคัญในการฟ้องขอแบ่งมรดกแต่ประการใดไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันปลอมแปลงเอกสารสิทธิโดยจำเลยที่ 1 ใช้หรือจ้างวานจำเลยที่ 2 ทำการเพิ่มเติมข้อความในหนังสือประนีประนอมยอมความแบ่งทรัพย์สินระหว่างโจทก์กับพวกและจำเลยที่ 1 เพื่อให้จำเลยที่ 1 ได้รับทรัพย์สินเพิ่มขึ้นจากข้อตกลงในสัญญาดังกล่าวโดยโจทก์กับพวกมิได้ยินยอมให้มีการแก้ไขดังกล่าว และต่อมาจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันเบิกความเท็จต่อศาลในการพิจารณาคดีแพ่งและนำสืบอ้างเอกสารปลอมต่อศาล โดยจำเลยที่ 1 ได้เบิกความเท็จต่อศาลหลายตอนมีข้อสาระสำคัญตอนหนึ่งว่า ‘ได้ชำระหนี้ให้กับนายชำนาญไปแล้วรวมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อเดืิน รวม 160,000 บาท’ ซึ่งคำเบิกความดังกล่าวของจำเลยที่ 1 เป็นความเท็จทั้งสิ้น กล่าวคือนายชั้วเจ้ามรดกไม่เคยกู้ยืมเงินจากนายชำนาญ และจำเลยที่1 ไม่เคยชำระหนี้ให้กับนายชำนาญแทนนายชั้ว และจำเลยที่ 2เบิกความต่อศาลมีสาระสำคัญว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยตกเติมอะไรในสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งเป็นความเท็จเพราะจำเลยที่ 2 ได้เพิ่มเติมข้อความลงในสัญญาภายหลัง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญษ มาตรา 83, 84, 91, 177, 180, 264, 265 และ 268
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งให้ประทับฟ้องโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์เป็นผู้เสียหาย มีอำนาจฟ้อง
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ได้ความว่าโจทก์เป็นบุตรคนหนึ่งของนายชั้วและนางชลอน นุชท่าโก หลังจากนางชลอมถึงแก่กรรมแล้ว นายชั้วได้แต่งงานกับจำเลยที่ 1 เมื่อพ.ศ. 2513 และมีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ เด็กหญิงชีวารัตน์หรือชีวรัตน์ ต่อมาวันที่ 12 มิถุนายน 2523 นายชั้วถึงแก่กรรม วันที่14 สิงหาคม 2523 โจทก์ นางบุษกร นุชท่าโก นายบัณฑิต นุชท่าโกนายสัมพันธ์ นุชท่าโก และนายสมชาย นุชท่าโก กับจำเลยที่ 1และบุตรได้ทำหนังสือสัญญาประนีประนอมแบ่งมรดกของนายชั้ววันที่ 11 มิถุนายน 2524 โจทก์ นางบุษกรและนายบัณฑิตเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ขอแบ่งมรดกของนายชั้วจำเลยที่ 1 ยกสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.6 ในสำนวนคดีแพ่งแดงที่ 55/2525 ต่อมาวันที่ 16กุมภาพันธ์ 2525 นางกำไรจึงเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เป็นคดีเรื่องนี้กล่าวหาว่าร่วมกันปลอมโดยเพิ่มเติมข้อความในหนังสือสัญญาประนีประนอม และเบิกความเท็จเกี่ยวกับหนังสือสัญญาประนีประนอมดังกล่าวซึ่งผลที่สุดศาลฎีกาพิพากษาว่า หนังสือสัญญาประนีประนอมตามเอกสารหมาย ล.6 ในคดีแพ่งแดงที่ 55/2525 เป็นโมฆะ
จากที่ได้ความดังกล่าวศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อสัญญาประนีประนอมตามเอกสารหมาย ล.6 เป็นโมฆะตามคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งมีผลเท่ากับว่าหนังสือสัญญาประนีประนอมไม่มีผลมาตั้งแต่ต้นดังนั้นถึงแม้หากจำเลยทั้งสองจะได้ร่วมกันเพิ่มเติมเลขที่น.ส3 และ น.ส.3ก. ลงในช่องว่างที่เว้นไว้ผิดไปจากข้อตกลงและเบิกความยืนยันข้อความในหนังสือสัญญาประนีประนอมนั้นก็จะไม่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแต่ประการใด ส่วนในข้อที่ฟ้องว่า จำเลยเบิกความเท็จว่า นายชั้วกู้เงินนายชำนาญ100,000 บาท และจำเลยที่ 1 เป็นผู้ชำระเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยเป็นเงิน 160,000 บาท นั้นก็หาใช่เป็นข้อสาระสำคัญในการฟ้องขอแบ่งมรดกแต่ประการใดไม่ ดังนั้นโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลอุทรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share