คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13113/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินของโจทก์ที่ 1 และ ก. ถูกเวนคืนทางกรุงเทพมหานครจ่ายเงินค่าเวนคืนโดยจ่ายเช็คธนาคาร ก. ให้แก่โจทก์ที่ 1 และ ก. เช็คระบุผู้รับเงินไว้คือโจทก์ที่ 1 กับ ก. และขีดฆ่าคำว่าหรือผู้ถือออก ธนาคารต้องจ่ายเงินให้แก่ผู้ที่สั่งจ่ายระบุชื่อ แม้ระหว่างชื่อของบุคคลทั้งสองมีเพียงเครื่องหมาย ” , ” คั่นไว้ก็ตาม ก็มีความหมายว่าธนาคารต้องจ่ายเงินให้แก่บุคคลทั้งสองมิใช่หมายถึงจ่ายเงินให้แก่โจทก์ที่ 1 เพียงคนเดียว อีกทั้งเช็คมีการขีดคร่อมระบุคำว่า “A/C PAYEE ONLY” ธนาคารต้องจ่ายเงินเข้าบัญชีของผู้รับเงินซึ่งมีชื่อในเช็คเท่านั้น การที่ธนาคารจำเลยที่ 1 นำเงินที่เรียกเก็บตามเช็คเข้าบัญชีของโจทก์ที่ 1 หรือ ม. ย่อมเป็นความเข้าใจของธนาคารจำเลยที่ 1 เพียงฝ่ายเดียวว่าสามารถกระทำได้ ทั้งๆ ที่บัญชีมีชื่อไม่ตรงกับที่ระบุไว้ในเช็ค อีกทั้งธนาคารจำเลยที่ 1 ยอมให้ ม. ผู้ไม่มีสิทธิรับเงินตามเช็คเบิกถอนเงินออกไปเพียงผู้เดียว ธนาคารจำเลยที่ 1 ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามการค้าปรกติของธนาคารย่อมไม่เป็นการกระทำที่สุจริตหรือปราศจากความประมาทเลินเล่อแต่อย่างใด ธนาคารจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระเงินต่อโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นทายาทของ ก. ฐานกระทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 1 และที่ 2
แม้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 กล่าวในคำฟ้องว่าด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้จัดการจำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ได้รับความเสียหายเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ที่ 1 และที่ 2 มีมูลหนี้จากการละเมิด อันจะต้องฟ้องเรียกค่าเสียหายภายในอายุความ 1 ปีก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาคำฟ้องทั้งหมดแล้วเห็นว่า เป็นการที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิอ้าง ป.พ.พ. มาตรา 1000 เพื่อยกเว้นความรับผิดตามมูลหนี้ตั๋วเงิน มีอายุความ 10 ปี จะนำอายุความเรื่องละเมิด 1 ปี มาใช้บังคับไม่ได้ ฟ้องโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสามฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสามเป็นเงิน 8,296,257.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 6,500,931.51 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาโจทก์ที่ 3 ขอถอนฟ้อง ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 จำนวน 6,500,931.51 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (วันที่ 8 มิถุนายน 2542) ให้ไม่เกิน 1,795,325.74 บาท กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ที่ 1 และที่ 2 โดยให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าฤชาธรรมเนียมต่อศาลในนามของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ฟ้องคดีอย่างคนอนาถา โดยกำหนดค่าทนายความให้ 8,000 บาท ให้ยกฟ้องในส่วนจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1 และที่ 2 สำหรับจำเลยที่ 1 เสียด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 จำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 1 และที่ 2 หรือไม่ เห็นว่า ที่ดินของโจทก์ที่ 1 และนางกิมหลั่นได้ถูกเวนคืน ทางกรุงเทพมหานครจึงได้จ่ายเงินค่าเวนคืนโดยสั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาอโศก – ดินแดง จำนวนเงิน 6,500,931.51 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 1 และนางกิมหลั่น ตามสำเนาเช็ค เช็คระบุชื่อผู้รับเงินไว้อย่างชัดเจน คือโจทก์ที่ 1 กับนางกิมหลั่น และขีดฆ่าคำว่า หรือผู้ถือซึ่งมีอยู่ในแบบพิมพ์ของเช็คนั้นออก แสดงว่า ธนาคารต้องจ่ายเงินให้แก่ผู้ที่ผู้สั่งจ่ายระบุชื่อคือโจทก์ที่ 1 และนางกิมหลั่นเป็นผู้รับเงินเท่านั้น แม้ระหว่างชื่อของบุคคลทั้งสองจะมีเพียงเครื่องหมาย ” , ” คั่นไว้ก็ตาม ซึ่งก็มีความหมายว่าธนาคารต้องจ่ายเงินให้แก่บุคคลทั้งสองมิใช่หมายถึงจะจ่ายเงินให้แก่โจทก์ที่ 1 เพียงคนเดียวก็ได้ อีกทั้งเช็คมีการขีดคร่อมระบุคำว่า “A/C PAYEE ONLY” ธนาคารต้องจ่ายเงินเข้าบัญชีของผู้รับเงินซึ่งมีชื่อระบุไว้ในเช็คเท่านั้น ซึ่งกรณีนี้ต้องเป็นบัญชีของโจทก์ที่ 1 และนางกิมหลั่น การที่ธนาคารจำเลยที่ 1 นำเงินที่เรียกเก็บตามเช็คดังกรณีเข้าบัญชีของโจทก์ที่ 1 หรือนางสาวมาลินี ย่อมเป็นความเข้าใจของธนาคารจำเลยที่ 1 เพียงฝ่ายเดียวว่าสามารถกระทำได้ ทั้ง ๆ ที่บัญชีมีชื่อไม่ตรงกับที่ระบุไว้ในเช็ค อีกทั้งธนาคารจำเลยที่ 1 ยังยอมให้นางสาวมาลินีซึ่งเป็นผู้ไม่มีสิทธิรับเงินตามเช็คเบิกถอนเงินออกไปแต่เพียงผู้เดียว ธนาคารจำเลยที่ 1 จึงไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามการค้าปรกติของธนาคาร ย่อมไม่เป็นการกระทำที่สุจริตหรือปราศจากความประมาทเลินเล่อแต่อย่างใด ธนาคารจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระเงินต่อโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นทายาทของนางกิมหลั่นในฐานกระทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ที่ 1 และที่ 2 มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ฟังขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยประการสุดท้ายตามคำแก้ฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่าฟ้องโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 จะกล่าวในคำฟ้องว่า ด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้จัดการจำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ได้รับความเสียหายซึ่งเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ที่ 1 และที่ 2 มีมูลหนี้มาจากการละเมิด อันจะต้องฟ้องเรียกค่าเสียหายภายในอายุความ 1 ปี ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาคำฟ้องทั้งหมดแล้วเห็นว่า เป็นการที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิอ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1000 เพื่อยกเว้นความรับผิดตามมูลหนี้ตั๋วเงิน ซึ่งมีอายุความ 10 ปี จะนำอายุความเรื่องละเมิด 1 ปี มาใช้บังคับไม่ได้ ฟ้องโจทก์ที่ 1 และที่ 2 จึงไม่ขาดอายุความ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share