คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1311/2504

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำพิพากษาตามยอมความว่าจำเลยยอมโอนกรรมสิทธิ์ให้ตามสัญญาจะขายนั้น ไม่ใช่คำพิพากษาที่แสดงหรือวินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์ที่ดิน
จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินให้คนหนึ่งแล้ว มาทำสัญญาจะขายที่ดินนั้นให้อีกคนหนึ่ง ผู้ซื้อคนหลังฟ้องขอให้บังคับโอนที่ดินก่อน แล้วผู้ซื้อคนแรกจึงฟ้องขอให้โอนโดยจำเลยทำยอมความไม่สู้คดี ดังนี้ ไม่ขัดข้องที่ศาลจะพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินให้ผู้ซื้อคนหลัง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ตามสัญญาจะขายเมื่อ ๒๔ มกราคม ๒๕๐๑ (ราคา ๒๐,๐๐๐ บาท)
จำเลยปฏิเสธว่า ไม่เคยทำสัญญา และไม่เคยรับเงิน สัญญารายนี้เกิดขึ้นโดยโจทก์ขู่เข็ญจะทำร้ายและจำเลยเซ็นขณะเมาสุรามากไม่มีเจตนาขาย และได้ขายที่ดินนี้ให้นายอารีย์แล้ว ตั้งแต่ ๒๒ เมษายน ๒๔๙๙ (ราคา ๑๐,๐๐๐ บาท)
ชั้นพิจารณา จำเลยไม่สืบพยานบุคคล คงขออ้างแต่คดีแดงที่ ๖/๒๕๐๑ ที่นายอารีย์ฟ้องจำเลยๆ ทำยอมความโอนที่ให้นายอารีย์เป็นพยานเท่านั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้โจทก์ตามฟ้องและรับเงินราคาที่เหลือ
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ในคดีแดงที่ ๖/๒๕๐๑ นั้น เป็นเรื่องที่ศาลพิพากษาตามสัญญายอมความว่าจำเลยยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้นายอารีย์ตามสัญญาจะซื้อขายเท่านั้น ไม่ใช่คำพิพากษาที่แสดงหรือวินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์ที่ดินว่าเป็นของนายอารีย์ สิทธิของนายอารีย์กับของโจทก์ใครจะดีกว่ากันยังไม่แน่ ทั้งตามพฤติการณ์ที่ปรากฏการยอมระหว่างจำเลยกับนายอารีย์มีข้อน่าสังสัยมาก
พิพากษายืน

Share