แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ได้รับสัมปทานเดินรถประจำทางในเส้นทางสายอำเภอเมืองภูเก็ตกับท่าฉัตรไชย ยินยอมให้จำเลยที่ 4 นำรถยนต์ที่เช่าซื้อซึ่งมีจำเลยที่ 5 เป็นคนขับเข้ามาเดินรถร่วมกับจำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 3 ได้รับผลประโยชน์ตอบแทน ถือได้ว่าจำเลยที่ 3 มีและใช้รถคันดังกล่าวนั้นในกิจการของจำเลยที่ 3 แล้วแม้ตรงที่จำเลยที่ 5 ขับรถไปเกิดเหตุจะเป็นเส้นทางนอกสัมปทานของจำเลยที่ 3 แต่ก็ปรากฏว่าเป็นเส้นทางที่จำเลยที่ 3 ยินยอมให้รถคันดังกล่าววิ่งรับส่งคนโดยสารร่วมกับจำเลยที่ 3 ตลอดมาจำเลยที่ 3 จะอ้างว่ารถนั้นมิได้ร่วมกิจการเดินรถกับจำเลยที่ 3 หาได้ไม่
จำเลยที่ 5 เป็นบุตรของจำเลยที่ 4 ได้ขับรถของจำเลยที่ 4 เข้าร่วมกิจการเดินรถกับจำเลยที่ 3 รับขนส่งคนโดยสารเก็บเงินค่าโดยสารตลอดมา อันเป็นการกระทำกิจการในทางหาประโยชน์ให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 โดยจำเลยที่ 4 ใช้ให้กระทำ ลักษณะการกระทำของจำเลยที่ 5 ดังกล่าว ไม่มีเหตุจะคาดหมายได้ว่าจำเลยที่ 5 ขับรถของจำเลยที่ 4 ออกรับจ้างด้วยกระทำให้เปล่า ย่อมถือเอาโดยปริยายว่ามีคำมั่นจะให้สินจ้าง พฤติการณ์ฟังได้ว่าจำเลยที่ 5 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 4การที่จำเลยที่ 4 นำรถเข้าร่วมกิจการเดินรถกับจำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 3 ได้รับประโยชน์ในการนี้จากจำเลยที่ 4 ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 5 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 ด้วย (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1653/2500)
ย่อยาว
คดีสองสำนวนนี้ศาลรวมการพิจารณา สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ได้เช่าซื้อรถยนต์ทะเบียน ภ.ก.00662 นำเข้าเดินร่วมรับส่งคนโดยสารกับจำเลยที่ 1 ในเส้นทางที่จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาต จำเลยที่ 3 ลูกจ้างของจำเลยที่ 1, 2 ขับรถดังกล่าวตามหน้าที่ของลูกจ้างโดยประมาทชนรถยนต์ทะเบียน ภ.ก.00739 ของโจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า มิได้อนุญาตให้ผู้ใดเดินรถรับขนคนโดยสารนอกเขต จำเลยที่ 3 มิใช่ลูกจ้างจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ไม่เคยอนุญาตให้จำเลยที่ 3 เดินรถบนเส้นทางของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2, 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 เช่าซื้อรถยนต์ทะเบียน ภ.ก.00662 ต่อจากจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ไม่ใช่นายจ้างของจำเลยที่ 3 เหตุที่รถชนกันเพราะความประมาทของลูกจ้างโจทก์ที่ขับรถ ความเสียหายของรถโจทก์มีเพียงเล็กน้อย
สำนวนหลัง โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 4 ได้เช่าซื้อรถยนต์ทะเบียนภ.ก.00662 นำเข้าร่วมรับส่งคนโดยสารกับจำเลยที่ 3 โดยมีจำเลยที่ 5 เป็นลูกจ้างผู้ขับขี่ จำเลยที่ 5 ได้ขับรถดังกล่าวในทางการที่จ้างชนกับรถยนต์ทะเบียน ภ.ก.00739 ของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นผู้ขับในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ด้วยความประมาทของคนขับทั้งสองฝ่าย เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งนั่งมาในรถของจำเลยที่ 1 ได้รับบาดเจ็บสาหัส ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทุกคนให้การปฏิเสธความรับผิด
ชั้นพิจารณา ศาลชั้นต้นให้เรียกนางวรรณวิมลโจทก์คดีหลังว่าโจทก์ บริษัทเดินอากาศไทย จำกัด จำเลยที่ 1 ในคดีหลัง และโจทก์คดีแรกว่า จำเลยที่ 1 ให้เรียกจำเลยที่ 2 ในคดีหลังว่าจำเลยที่ 2 และเรียกจำเลยที่ 3, 4, 5 ในคดีหลังซึ่งเป็นจำเลยที่ 1, 2, 3 ในคดีแรกว่าจำเลยที่ 3, 4, 5
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหายให้แก่บริษัทเดินอากาศไทย จำกัด จำเลยที่ 1 (โจทก์คดีแรก) เป็นเงิน 10,779 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 31 มกราคม 2512 จนกว่าจะชำระเสร็จกับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนบริษัทเดินอากาศไทย จำกัด จำเลยที่ 1 (โจทก์คดีแรก) อีก 500 บาท กับให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ร่วมกันรับผิดใช้ค่ารักษาพยาบาล 4,250 บาท ค่าเสริมฟันชุดชั่วคราวและถาวร 1,350 บาท ค่าแต่งหน้าและค่าทนทุกขเวทนา 10,000 บาท ค่าขาดผลประโยชน์ 10,000 บาท รวมเป็นเงิน 25,600 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ กับค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความอีก 1,000 บาท แก่นางวรรณวิมลโจทก์ ให้ยกฟ้องนางวรรณวิมลโจทก์เกี่ยวแก่บริษัทเดินอากาศไทย จำกัด จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพับ
จำเลยที่ 3, 4, 5 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องโจทก์เกี่ยวแก่จำเลยที่ 3, 4 ในคดีทั้งสองสำนวนเสีย ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความทั้งสองศาลเกี่ยวกับจำเลยที่ 1, 2 ในสำนวนคดีแรก และเกี่ยวกับจำเลยที่ 3, 4 ในสำนวนคดีหลังให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นค่าทนายความชั้นอุทธรณ์เกี่ยวแก่จำเลยที่ 5 ให้เป็นพับ
บริษัทเดินอากาศไทย จำกัด จำเลยที่ 1 (ในฐานะโจทก์สำนวนคดีแรก) และนางวรรณวิมลโจทก์ฎีกาขอให้บังคับไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 5 ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียนภ.ก.00662 โดยความประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้ชนรถยนต์หมายเลขทะเบียน ภ.ก.00739 ของจำเลยที่ 1 (โจทก์คดีแรก) เสียหายเป็นเงิน10,779 บาท และทำให้นางวรรณวิมลโจทก์ได้รับบาดเจ็บคิดเป็นค่าเสียหาย 25,600 บาท รถยนต์หมายเลขทะเบียน ภ.ก.00662 ที่จำเลยที่ 5 ขับเป็นของจำเลยที่ 4 เช่าซื้อครอบครองอยู่ ศาลฎีกาวินิจฉัยต่อไปว่า รถคันที่จำเลยที่ 5 ขับนี้เข้าร่วมกิจการเดินรถกับจำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 3 ได้รับประโยชน์ตอบแทนเป็นรายเที่ยว ทั้งปรากฏว่ารถยนต์คันที่เกิดเหตุประทับตราเครื่องหมายมีชื่อห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 3 การที่จำเลยที่ 3 ยินยอมให้จำเลยที่ 4 นำรถยนต์คันที่จำเลยที่ 5 ขับเข้ามาเดินรถร่วมกับจำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 3 ได้รับผลประโยชน์ตอบแทน ถือได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้มีและใช้รถคันเกิดเหตุของจำเลยที่ 4 ในกิจการของจำเลยที่ 3 แล้ว แม้ตรงที่จำเลยที่ 5 ขับรถยนต์ไปเกิดเหตุนั้นจะเป็นเส้นทางนอกสัมปทานของจำเลยที่ 3 แต่ก็ปรากฏว่าเป็นเส้นทางที่จำเลยที่ 3 ยินยอมให้รถคันเกิดเหตุวิ่งรับส่งคนโดยสารร่วมกับจำเลยที่ 3 ตลอดมา จำเลยที่ 3 จะอ้างว่ารถคันที่เกิดเหตุมิได้ร่วมกิจการเดินรถกับจำเลยที่ 3 หาได้ไม่
ปัญหาที่ว่า จำเลยที่ 5 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 5 ขับรถยนต์คันเกิดเหตุของจำเลยที่ 4 ซึ่งเข้าร่วมกิจการเดินรถกับจำเลยที่ 3 รับขนส่งคนโดยสารเก็บเงินค่าโดยสารตลอดมา แสดงว่าจำเลยที่ 5 ได้กระทำกิจการในทางหาประโยชน์ให้กับจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 โดยจำเลยที่ 4 ใช้ให้กระทำ เมื่อเป็นเช่นนี้ ตามพฤติการณ์ที่ปรากฏจึงเห็นได้ว่าลักษณะการกระทำของจำเลยที่ 5 ที่ขับรถยนต์คันเกิดเหตุของจำเลยที่ 4 ออกรับจ้างหาประโยชน์เป็นเงินให้แก่จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ตลอดมา แม้จำเลยที่ 5 จะเป็นบุตรจำเลยที่ 4 ก็ยังไม่มีเหตุจะคาดหมายได้ว่าจำเลยที่ 5 ขับรถยนต์คันเกิดเหตุออกรับจ้างด้วยกระทำให้เปล่าย่อมถือเอาโดยปริยายว่ามีคำมั่นจะให้สินจ้างดังที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 576 ศาลฎีกาจึงเห็นว่า พฤติการณ์ดังที่วินิจฉัยมา พอฟังได้แล้วว่าจำเลยที่ 5 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 4 เทียบตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1653/2500 การที่จำเลยที่ 4 นำรถคันเกิดเหตุเข้าร่วมกิจการเดินรถกับจำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 3 ได้รับประโยชน์ในการนี้จากจำเลยที่ 4 จึงถือได้ว่า จำเลยที่ 5 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 ด้วย
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะข้อที่ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวนเกี่ยวกับจำเลยที่ 3, 4 เป็นว่า ให้บังคับคดีสำหรับจำเลยที่ 3, 4 ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยที่ 3, 4 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ฎีกาให้โจทก์ทั้งสองสำนวน โดยกำหนดค่าทนายความสองศาลให้บริษัทเดินอากาศไทย จำกัด จำเลยที่ 1 (โจทก์สำนวนคดีแรก) 800 บาท นางวรรณวิมล (โจทก์สำนวนคดีหลัง) 1,500 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์